Saturday, November 27, 2004

[News] โลกตอแหละ

อ่านข่าวจากมติชนสุดสัปดาห์ วันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2547 ปีที่ 25 ฉบับ 1267 ทำให้ค้นพบวิธีพูดโกหกด้วยสถิติที่น่าทึ่ง แค่การหาค่าเฉลี่ยถ้าเรามีวิธีปรุงตัวเลขก่อนเราก็จะได้อะไรที่ต่างไปจากเิดิมมากๆได้

ลิงค์ไปอ่านบทความคือ
http://www.matichon.co.th/weekly/weekly.php?srctag=0420261147&srcday=2004/11/26&search=no

บทความนั้นคัดมาจากหนังสือ
Huff, darrell, HOW TO LIE WITH STATISTICS, 1954 ;Penguin 1981

Saturday, November 20, 2004

[Tech] จะแตกไฟล์แบบ RAR โดยไม่ใช้ win rar

ใช้โปรแกรม UnzipThemAll ทำดูนะ เป็นของฟรี ดีใช้ได้ทีเดียว
แต่โดยทั่วๆไปแล้วถ้าใช้แต่กับ .zip เราพบว่า 7 zip (เอาจาก sourceforge.net) ดูดีที่สุดแล้ว

Friday, November 12, 2004

[Life] อันจินเผิง เหรียญทองคณิตศาสตร์โอลิมปิคปี1997

นี่คงเป็นเรื่องที่เราประทับใจมากๆที่สุดอันหนึ่ง อ่านทีไรร้องไห้ทุกที ทั้งยังรู้สึกอายกับความเกียจคร้านของตัวเอง เรื่องราวอันนี้คงจะเป็นเครื่องเตือนสติอันดีเลิศสำหรับเราเสมอ

เรื่อง: อันจินเผิง เหรียญทองคณิตศาสตร์โอลิมปิคปี1997
ที่มา: ไม่ระบุ

หนึ่งเหรียญทองที่สร้างขึ้นจากความรักคุณแม่
ในปี 1997 กันยายน วันที่ 28 ที่เทียนสิน
นักเรียนมัธยมปีที่ 6 อันจินเผิง ได้รับเหรียญทองชนะเลิศ
ในการแข่งขันคณิตศาสตร์โอลิมปิคครั้งที่ 38 ณ.ประเทศอาร์เจนติน่า
นับเป็นผู้เปิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้แก่เมืองเทียนสิน
เบื้องหลังความสำเร็จของอัจฉริยะทางคณิตศาสตร์วัย 19 ปีคนนี้
แฝงไว้ด้วยเรื่องราวของความรักที่ยิ่งใหญ่ของแม่
ที่ทำให้ทุกผู้คนต้องซาบซึ้งจนกลั้นน้ำตาไม่อยู่

ปี 1997 กันยายน วันที่ 5 เป็นวันที่ผมจากบ้านไปรายงานตัว
ที่คณะคณิตศาสตร์ มหาวิทยาลัยปักกิ่ง
ควันจากเตาหุงข้าวในยามเช้าตรู่ ที่ลอยจากบ้านไร่หลังเก่าอันชำรุดทรุดโทรมของผม
คุณแม่ที่ขากระเผลกกำลังทำหมี่ให้ผม
เป็นแป้งหมี่ที่คุณแม่ใช้ไข่ไก่ 5 ฟองแลกมากจากเพื่อนบ้าน
ขาแม่ที่แพลงนั้นเป็นเพราะวันก่อนท่านคิดจะหาเงินค่าเล่าเรียนให้แก่ผม
แล้วพลิกจนขัดยอก ในยามที่กำลังเข็นผักเต็มคันรถเพื่อไปขายในเมือง
ยามที่ยกชามขึ้น ผมกลั้นน้ำตาไม่อยู่ ผมวางตะเกียบลง
แล้วคุกเข่าลงบนพื้นลูบคลำเท้าของแม่ที่บวมเป่งใหญ่กว่าหมั่นโถวอยู่นาน
หยาดน้ำตาที่ละหยด ๆ ไหลกลิ้งลงสู่พื้น
บ้านของผมอยู่ที่หมู่บ้านต้าอิ้วไต้ อำเภออู่ เมืองเทียนสิน
ผมมีแม่ที่ดีที่สุดในโลกคนหนึ่ง ชื่อของท่านเรียกว่า หลี่ เอี้ยน เสีย
บ้านของผมจนมาก ๆ ตอนที่ผมเกิดมา คุณย่าก็ล้มป่วยอยู่บนเตียง
ในปีที่อายุ 4 ขวบ คุณปู่ก็ป่วยเป็นโรคหืดหอบ เป็นอัมพฤกษ์ครึ่งตัว
พอ 7 ขวบ ผมก็เข้าโรงเรียน ค่าเล่าเรียนก็เป็นคุณแม่ไปหยิบยืมจากผู้อื่น
ผมมักจะเก็บเอาดินสอที่เพื่อนนักเรียนโยนทิ้งแล้วกลับมา คุณแม่ปวดใจมาก
บางครั้งแม้แต่เงินที่จะซื้อดินสอกับสมุดยังต้องหยิบยืมจากผู้อื่น
แต่ทว่า คุณแม่ก็ยังมีช่วงเวลาที่ดีใจอยู่ ไม่ว่าการสอบไล่ หรือ สอบซ่อม
ผมมักจะสอบได้ที่ 1 เสมอ ยิ่งวิชาคณิตศาสตร์ได้คะแนนเต็มมาตลอด
ภายใต้กำลังใจจากแม่ ผมยิ่งเรียนก็ยิ่งมีความสุข
ผมนึกว่าไม่รู้ว่าในโลกนี้ยังจะมีเรื่องที่เป็นสุขมากไปกว่าการเรียนหนังสือ
ผมยังไม่ทันเข้าเรียนประถมก็เรียนรู้พื้นฐานการคิดเลข
บวก ลบ คูณ หาร เศษส่วน ทศนิยมแล้ว พอขึ้นประถมก็เรียนรู้ด้วยตนเอง
ทำความเข้าใจต่อวิชาคณิตฟิสิกส์ เคมี ของชั้นมัธยมต้น

พฤษภาคม ปี 1994 เมืองเทียนสินได้จัดให้มีการแข่งขันวิชาฟิสิกส์ในระดับมัธยมต้น
ผมเป็นเด็กชายลูกชาวนาเพียงคนเดียวที่สอบติด 3 ลำดับต้น
จากนักเรียนที่มาจาก 5 อำเภอชานเมือง มิถุนายนของในปีนั้น
ผมได้รับเลือกสรรเป็นกรณีพิเศษจากโรงเรียนมัธยมต้นอี้จงของเทียนสิน
ผมวิ่งกลับบ้านด้วยความดีใจ เหมือนดั่งคนเสียสติ
แต่คิดไม่ถึง เมื่อบอกข่าวดีให้กับคนทางบ้านฟัง
บนใบหน้าของพวกเขากลับเต็มไปด้วยความโศกเศร้า
คุณย่าเสียชีวิตไปไม่ถึงครึ่งปี ชีวิตคุณปู่ก็อยู่ในช่วงอันตราย
ที่บ้านติดหนี้เขาหมื่นกว่าหยวนแล้ว
ผมค่อย ๆ เดินกลับเข้าห้องอย่างสงบพร้อมทั้งร้องไห้ตลอดทั้งวัน
คืนนั้น ก็ได้ยินเสียงโต้เถียงกันที่นอกบ้าน
ที่แท้คุณแม่คิดจะเอาลาในบ้านไปขายเพื่อให้ผมได้เรียนต่อ
แต่คุณพ่อคัดค้านไม่เห็นด้วยเด็ดขาด
คำพูดที่โต้เถียงกันของพวกท่านได้ยินไปถึงคุณปู่ที่ป่วยหนัก
พอคุณปู่กระวนกระวายใจ ท่านก็จึงลาโลกนี้ไปตลอดกาล
ผมก็ไม่พูดถึงเรื่องเรียนต่ออีก นำเอา "ใบแจ้งผลการคัดเลือก" พับอย่างดี
แล้วยัดเข้าไปในปลอกหมอน แล้วช่วยคุณแม่ทำงานเลี้ยงชีพไปวัน ๆ
ผ่านไป 2 วัน ผมและคุณพ่อได้รับรู้พร้อมกันว่า “ลาหนุ่มหายไปแล้ว“
คุณพ่อต่อว่าคุณแม่ด้วยใบหน้าที่ขมึงตึงว่า
"เธอขายลาหนุ่มไป เธอบ้าแล้วหรือ วันข้างหน้าการเพาะปลูกของครอบครัว
การขายผลผลิต เธอจะใช้มือไปเข็น ใช้ไหล่ไปแบกหรือ ?"
เธอขายลาหนุ่มได้เงินแค่ไม่กี่ร้อยหยวน
พอให้จินเผิง ได้เรียน ก็แค่ 1 - 2 เทอมเท่านั้น ??
วันนั้นคุณแม่ร้องไห้ ท่านใช้น้ำเสียงที่ดุมากตะโกนใส่พ่อว่า
"ลูกจะเรียนหนังสือผิดตรงไหน?
จินเผิงสอบเข้ามัธยมอี้จงในเมืองได้ นับเป็นคนเดียวในอู่ชิงที่สอบได้
พวกเราอย่าให้คำว่ายากจน ทำให้อนาคตของลูกต้องสะดุดลง
ถึงแม้จะต้องใช้สองมือนี้ไปเข็น ใช้ไหล่ไปแบกก็จะให้เขาได้เรียนต่อไป"
โดยอาศัยเงิน 600 หยวนที่แม่ขายลาหนุ่มนี้
ผมนับว่าอยากคุกเข่าโขกศรีษะคำนับแม่จริง ๆ ผมรักการเรียนมาก
แต่ถ้าเรียนต่อไปคุณแม่จะต้องลำบากอีกแค่ไหน ต้องทุกข์ยากอีกเท่าไหร่ ?

ฤดูใบไม้ร่วงปีนั้น ผมกลับมาบ้านเอาเสื้อหนาว
พบว่าใบหน้าของพ่อเหลืองซีด ตัวผอมจนหนังแห้งหุ้มกระดูกนอนอยู่บนเตียง
คุณแม่บอกกับผมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นว่า
"ไม่มีอะไร เป็นไข้หวัดใหญ่ใกล้จะหายแล้ว"
ใครรู้ได้ วันรุ่งขึ้นผมเอาขวดยาขึ้นมาดูเห็นฉลากภาษาอังกฤษ
จึงรู้ว่ายาพวกนี้เป็นยาระงับเซลล์มะเร็ง
ผมลากคุณแม่ออกไปนอกห้อง
ร้องไห้ไปถามแม่ไปว่าเรื่องราวเป็นอย่างไรกันแน่
คุณแม่ก็บอกว่า ตั้งแต่ผมไปเรียนมัธยมอี้จง
คุณพ่อก็เริ่มถ่ายเป็นเลือด อาการหนักขึ้นทุกวัน ๆ
คุณแม่ขอยืมเงินมาได้หกพันหยวน พาไปตรวจทั้งที่เทียนสิน ปักกิ่ง
สุดท้ายตรวจพบเป็นเนื้องอกในลำไส้ หมอต้องการให้พ่อผ่าตัดโดยเร็ว
คุณแม่ก็เตรียมจะไปขอยืมเงินมารักษา แต่คุณพ่อไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมรับปาก
ท่านกล่าวว่า ยืมญาติมิตรเพื่อนฝูงจนทั่วแล้วมีแต่ยืมแต่ยังมิได้จ่ายคืน ใครเขาจะให้ยืมอีก!
วันนั้น เพื่อนบ้านยังบอกกับผมว่า
แม่ใช้วิธีการดั้งเดิมในการเก็บเกี่ยวซึ่งน่าเศร้ามาก!
แม่ไม่มีแรงพอที่หาบข้าวสาลีไปที่ลาดเพื่อนวดข้าวและก็ไม่มีเงินที่จะจ้างคนมาช่วย
ท่านได้แต่รอข้าวสุกแปลงหนึ่ง จากนั้นเอาใส่กระดานลากกลับบ้าน
ตกเย็นก็ปูผ้าพลาสติกที่ลานใช้สองมือกำข้าวสาลีกำใหญ่เหวี่ยงฟาดกับก้อนหินเพื่อนวดข้าว..
ข้าวสาลี 3 ไร่จีน ( 1 ไร่จีน เท่ากับ 600 ตารางฟุต) ล้วนอาศัยแม่ทำคนเดียว
แม่เหนื่อยจนยืนเกี่ยวไม่ไหวจึงคุกเข่าเกี่ยว หัวเข่าถูกสีจนเลือดออก
เวลาเดินก็สั่นเทาไปหมด ผมไม่รอให้เพื่อนบ้านพูดจบ
ก็รีบวิ่งกลับบ้านอย่างรวดเร็วปานเหินบินร้องไห้เสียงดังพูดว่า
"แม่ แม่ ผมไม่สามารถเรียนต่อไปอีกแล้ว" ในที่สุด แม่ก็ไล่ให้ผมกลับไปเรียน
ค่าใช้จ่ายแต่ละเดือนของผมอยู่ที่ 60 ถึง 80 หยวน
ถ้าจะเปรียบกับเพื่อนนักเรียนที่ใช้จ่าย 200-240 หยวนแล้ว นับว่าน้อยจนน่าสงสาร
มีแต่ผมเท่านั้นที่รู้ว่า เพื่อเงินจำนวนน้อยนิดนี้
แต่ต้องเก็บสะสมอย่างประหยัดตั้งแต่ต้นเดือน ทีละหยวน ๆ จากการขายไข่ไก่ ขายผักจริง ๆ
แล้วยามที่รวบรวมไม่ครบยังต้องไปขอยืมอีก 20 หรือ 30 หยวน
พ่อ น้องชาย แทบจะไม่เคยได้กินผักเลย ถึงจะมีผักบ้างก็ไม่ใช้น้ำมันหมูคลุก
เพียงตักน้ำผักดองมาคลุกกิน หรือทำอาหารกิน
แม่ไม่เคยปล่อยให้ผมต้องหิวโหย
ทุกเดือนท่านจะเดินสิบกว่าลี้ เพื่อซื้อหมี่สำเร็จรูปส่งไปให้ผม
ทุกสิ้นเดือนแม่มักจะแบกถุงใบใหญ่ เหนื่อยยากลำบาก มาดูผมที่เทียนสิน
ภายในถุงนอกจากเศษหมี่สำเร็จรูปแล้ว ยังมีกระดาษที่พิมพ์เสียของโรงพิมพ์ที่ห่างบ้าน 6 ลี้กว่า
(นั่นเอาไว้ให้ผมใช้เป็นกระดาษทดเลข) กับเต้าเจี้ยวเผ็ด 1 ขวดใหญ่ ผักกาดเขียวเค็มหั่นเป็นเส้น
และเครื่องมือตัดผม 1 อัน (ค่าตัดผมที่ถูกที่สุดในเทียนสินก็ต้อง 5 หยวน)
แม่ต้องการให้ผมประหยัดจะได้ซื้อหมั่นโถวไว้กินอีกหลายใบ
ผมเป็นนักเรียนคนเดียวของมัธยมอี้จง ของเทียนสิน
ที่แม้แต่ผักในโรงอาหารก็ยังไม่สามารถซื้อกิน
ได้แต่เพียงแค่ซื้อหมั่นโถว 2 ใบ กลับมาที่หอพัก
ชงเศษหมี่สำเร็จรูปแล้วใส่เต้าเจี้ยวเผ็ดกับผักกาดเค็มกิน
ผมก็เป็นนักเรียนคนเดียวที่ไม่สามารถใช้กระดาษต้นฉบับ (แบบฟอร์ม) มาเขียน
ได้แต่ใช้กระดาษที่พิมพ์เสียจากโรงพิมพ์มาเขียนต้นฉบับ
ผมยังเป็นนักเรียนคนเดียวที่ไม่เคยใช้สบู่
เวลาซักเสื้อก็ไปที่โรงอาหารเอากรดโซเดียมจากหมี่ที่เสียแล้วมาใช้แทนสบู่
แต่ผมไม่เคยน้อยเนื้อต่ำใจมาก่อน
ผมรู้สึกว่าคุณแม่นับเป็นวีรสตรีที่ต่อสู้กับความยากลำบาก และความโชคร้าย
ได้เกิดมาเป็นลูกของแม่ ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างไม่อาจเปรียบอีกแล้ว
เมื่อเริ่มเข้ามัธยมอี้จง ของเทียนสิน คอร์สแรกของภาษาอังกฤษทำให้ผมฟังจนงงไปหมด
ตอนที่แม่มาหาผม ผมได้บอกถึงความวิตกกังวลกลัวว่าภาษาอังกฤษจะเรียนไม่ทันเพื่อน
ใครจะรู้ได้ ใบหน้าของแม่กลับเปี่ยมด้วยรอยยิ้มแล้วตอบว่า
"แม่เพียงรู้ว่าเจ้าเป็นเด็กที่ทนความลำบากที่สุด
แม่ไม่ชอบฟังเจ้าพูดว่ายากลำบาก เพราะขอเพียงทนลำบากได้ ก็ไม่ยากอีกแล้ว"
ผมจำคำของแม่คำนี้ไว้แล้ว ผมมีอาการติดอ่างเล็กน้อย
มีคนบอกกับผมว่า จะเรียนภาษาอังกฤษให้ได้ดีอันดับแรกต้องให้ลิ้นฟังคำสั่งตัวเอง
ดังนั้นผมมักจะเก็บก้อนหินก้อนหนึ่ง อมไว้ในปาก
จากนั้นก็ขยันท่องภาษาอังกฤษอย่างเอาเป็นเอาตาย
ลิ้นเมื่อได้เสียดสีกับก้อนหินบางครั้งที่มีเลือดไหลออกมาทางมุมปาก
แต่ผมก็กัดฟันยืนหยัดอย่างเสมอต้นเสมอปลาย
ครึ่งปีผ่านไป ก้อนหินเล็ก ๆ ถูกสีจนกลม ลิ้นของผมก็ถูกสีจนเรียบ
ผลการเรียนภาษาอังกฤษขยับขึ้นเป็น 3 ลำดับต้นของห้อง
ผมต้องขอบคุณแม่เป็นอย่างยิ่ง คำพูดของท่าน
ทำให้เกิดปาฎิหาริย์ในการก้าวข้ามอุปสรรคอันยิ่งใหญ่ของการฝึกฝนของผม

ปี 1996 ผมได้เข้าร่วมแข่งขันโอลิมปิควิชาการที่จัดขึ้นทั่วประเทศในเขตเทียนสินเป็นครั้งแรก
ได้รับรางวัลที่ 1 ในวิชาฟิสิกส์ และรางวัลที่ 2 ในวิชาคณิตศาสตร์
ได้เป็นตัวแทนของเทียนสินไปหังโจวเพื่อร่วมแข่งขันโอลิมปิกฟิสิกส์จากทั่วประเทศ
"ผมเอารางวัลที่ 1 ของประเทศมามอบให้แม่ จากนั้นก็ไปแข่งขันโอลิมปิกฟิสิกส์ระดับโลก"
ผมคุมความตื่นเต้นในใจไว้ไม่อยู่ เอาข่าวดีและความมุ่งหวังเขียนใส่จดหมายส่งไปบอกแม่
สุดท้ายผมได้แค่ที่ 2 ผมล้มแผ่ลงบนเตียง ไม่ดื่มไม่กินอะไร
แม้ว่าจะเป็นผลงานที่ดีที่สุดในบรรดาผู้แข่งขันของเทียนสิน
แต่หากจะทดแทนความเหนื่อยยากลำบากของแม่แล้ว นับว่ายังไม่เพียงพอจริง ๆ
กลับถึงโรงเรียน กลุ่มคุณครูช่วยผมวิเคราะห์ถึงสาเหตุของความพ่ายแพ้
ฉันมักจะคิดให้คณิตศาสตร ์ฟิสิกส ์และเคมีล้วนได้ดี
วิชาเอกที่เลือกมากไป ทำให้ความมุ่งมั่นไม่เป็นหนึ่งเดียว
หากว่าตอนนี้ผมมุ่งเรียนคณิตศาสตร์อย่างเดียวต้องสำเร็จแน่

มกราคม ปี 1997 ในที่สุดในการแข่งขันคณิตศาสตร์โอลิมปิกทั่วประเทศ
ผมก็ชนะเลิศที่ 1 ด้วยคะแนนเต็ม ได้เข้าร่วมกลุ่มฝึกซ้อมระดับประเทศอย่างราบรื่น
และในการทดสอบทั้งสิบครั้งนั้นก็ช่วงชิงจนได้เป็นตัวแทนไปแข่งขัน
แต่ตามกฎกำหนดไว้ว่าค่าใช้จ่ายในการไปร่วมการแข่งขันที่อาร์เยนติน่าต้องจัดการเอง
จ่ายค่าสมัครเรียบร้อยแล้ว ผมเอาหนังสือที่ต้องเตรียม
และเต้าเจี้ยวเผ็ดที่แม่ทำให้ห่อไว้อย่างดี งานที่ตัองเตรียมก็เสร็จสิ้นลง
หัวหน้าภาควิชากับอาจารย์คณิตศาสตร์เห็นผมยังคงใส่เสื้อผ้าที่คนอื่นสงเคราะห์ให้
ทั้งสีสัน ขนาดของเสื้อผ้าไม่สมกับตัว เมื่อเปิดตู้เก็บของ
ชี้ไปที่แขนเสื้อที่ต่อมาสองครั้ง ชายเสื้อหนาวที่ต่อยาวอีก 3 นิ้ว กับชุดชั้นในที่มีรอยปะ
แล้วพูดว่า "จินเผิง นี่เป็นเสื้อผ้าทั้งหมดของเธอหรือ ฉันไม่รู้จะจัดการอย่างไร"
ผมจึงรีบตอบว่า ครูครับ ผมไม่กลัวขายหน้าคุณแม่บอกกับผมเสมอว่า
"ในตัวถ้ามีภูมิความรู้ ก็จะมีความสง่าเอง
ถึงผมต้องใส่เสื้อพวกนี้ไปอเมริกาพบกับคลินตัน ผมก็ไม่กลัว"

27 กรกฎาคม โอลิมปิควิชาการเริ่มขึ้น
พวกเรานั่งทำข้อสอบตั้งแต่แปดโมงครึ่ง ถึง บ่ายสองโมง
รวมเวลาในการทำข้อสอบห้าชั่วโมงครึ่ง วันที่สองเป็นวันประกาศผล
ก่อนอื่นเป็นการประกาศรางวัลเหรียญทองแดง ผมไม่หวังจะได้ยินชื่อของตัวเอง
ถัดจากนั้นก็เป็นรางวัลเหรียญเงิน สุดท้ายประกาศเหรียญทอง
คนที่หนึ่ง คนที่สอง คนที่สามก็คือผม
ผมดีใจจนร้องไห้ เรียกพึมพำอยู่ในใจว่า “แม่ครับ ลูกแม่ทำได้สำเร็จแล้ว”
ข่าวการชนะเลิศได้เหรียญทองเหรียญของผมกับเพื่อนอีกคน
ในการแข่งขันโอลิมปิคคณิตศาสตร์ของการแข่งขันโอลิมปิควิชาการครั้งที่ 38 นี้
ได้ถูกแพร่กระจายเสียงและแพร่ภาพโดยสถานีวิทยุกระจายเสียง
และสถานีโทรทัศน์แห่งชาติในคืนนั้น 1 สิงหาคม
ยามที่พวกเรานำเอาเกียรติยศกลับสู่ประเทศนั้น
สมาคมวิทยาศาสตร์และสมาคมคณิตศาสตร์แห่งประเทศจีนได้จัดพิธีต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่
ในยามนี้ ผมคิดจะกลับบ้าน ผมคิดอยากพบหน้าแม่ให้เร็วที่สุด
ผมจะนำเอาเหรียญทองที่แวววับจับตานี้แขวนไว้ที่คอของท่าน
สี่ทุ่มกว่าของคืนวันนั้น ผมฝ่าความมืดจนกลับถึงบ้านที่ฉันคิดถึงทุกเช้าเย็น
พ่อเป็นคนมาเปิดประตู แต่ว่าผู้ที่โอบผมไว้ในอ้อมอกอย่างแนบแน่นก็คือแม่ที่ปราณีของผม
ใต้แสงดาวอันแจ่มจรัส แม่กอดผมอย่างแน่นหนา
ผมล้วงเหรียญทองออกมาแล้วแขวนไว้ที่บนคอของแม่
แล้วร้องไห้ด้วยจิตใจที่โปร่งโล่ง

12 สิงหาคม ที่นั่งในห้องประชุมโรงเรียนไม่มีว่างเลย
แม่กับเหล่าข้าราชการของกรมสามัญศึกษาและเหล่าศาสตราจารย์วิชาคณิตศาสตร์
ได้ร่วมกันนั่งเป็นประธานบนเวที ในวันนั้น ฉันได้พูดไว้ในงานช่วงหนึ่งว่า
"ผมจะใช้ชั่วชีวิตของผมสำนึกขอบพระคุณคนคนหนึ่ง
นั่นคือแม่ที่อบรมเลี้ยงผมจนเติบใหญ่ ท่านเป็นหญิงชาวนาธรรมดาคนหนึ่ง
แต่ท่านสอนผมให้รู้จักหลักธรรมในการเป็นคน
ทั้งยังคอยกระตุ้นให้กำลังใจผมมาตลอดชีวิต"
ปีที่อยู่มัธยมปีที่ 4 ผมคิดจะซื้อหนังสือ "พจนานุกรม จีน - อังกฤษ" เพื่อฝึกภาษาอังกฤษ
ในกระเป๋าเสื้อของแม่ไม่มีเงินเลย แต่แม่ก็รับปากว่าจะหาให้
หลังอาหารเช้า แม่ยืมรถลากคันหนึ่งขนผักกาดขาวเต็มรถแล้วลากไปพร้อมกับผม
เพื่อนำไปขายในเมืองที่ไกลถึงสี่สิบลี้ เมื่อถึงตัวอำเภอ ก็เกือบเที่ยงแล้ว
ตอนเช้าผมกับแม่ ดื่มเพียงน้ำซุปข้าวต้มใส่มันเทศกับข้าวโพดแค่ 2 ชาม
ในยามที่ท้องหิวจนร้อง จ๊อก ๆ แค้นจนอยากให้มีคนมาเหมาซื้อผักไปทันที
แต่แม่ยังคงอดทนต่อรองราคากับผู้ซื้อ สุดท้ายตกลงกันในราคาชั่งละ 10 เซ็นต์
ผักกาดขาว 210 ชั่ง ควรเป็นเงิน 21 หยวน แต่ผู้ซื้อให้เพียง 20 หยวน
เมื่อมีเงินผมคิดจะกินข้าวก่อน แต่แม่บอกให้ซื้อหนังสือก่อนเพราะนี่เป็นเรื่องสำคัญของวันนี้
พวกเราไปที่ร้านหนังสือแห่งหนึ่งถามราคาหนังสือต้องใช้เงิน 18.25 หยวน
ซื้อหนังสือ เสร็จแล้วยังคงเหลืออยู่ 1.75 หยวน
แต่แม่ให้ผม 75 เซ็นต์เพื่อไปซื้อขนมเปี๊ยะ 2 ชิ้น แม้จะกินขนมเปี๊ยะไป 2 ชิ้น
แต่รอจนพวกเราแม่ลูกเดินจนเกือบจะถึงบ้านเป็นระยะทาง 40 กว่าลี้
ผมก็หิวจนหน้ามืดตาลาย ในยามนี้นึกขึ้นได้ว่าผมลืมแบ่งขนมเปี๊ยะ 1 ชิ้นให้กับแม่
แม่หิวทั้งวัน ยังลากรถเป็นระยะทาง 80 ลี้เพื่อผม
ผมรู้สึกละอายจนคิดที่จะตบหน้าตนเอง แต่แม่กลับพูดว่า
แม่ไม่มีความรู้เท่าไร แต่แม่นึกถึงตอนเด็กที่คุณครูเคยให้ท่องคำพูดหนึ่ง ของกอร์จีว่า
"ความยากจนข้นแค้นเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดแห่งหนึ่ง
หากว่าเธอสามารถที่จะผ่านด่านมหาวิทยาลัยนี้ไปได้
ไฉนต้องกลัวว่าเป็นมหาวิทยาลัยเทียนสิน
แม้แต่มหาวิทยาลัยปักกิ่ง เธอก็สอบเข้าไปได้ดั่งใจหวังอยู่"
ตอนที่แม่พูดคำ ๆ นั้น แม่ไม่มองหน้าผม แม่มองหนทางที่ทอดยาวไกลออกไป
เหมือนดั่งว่าทางเส้นนั้นสามารถเชื่อมไปถึงเมืองเทียนสินเชื่อมไปถึงเมืองปักกิ่งไม่มีผิด
"ผมฟังแล้วก็ไม่รู้สึกว่าท้องหิวอีกแล้ว ขาก็ไม่เมื่อยอีกแล้ว
หากกล่าวว่า ความยากจนข้นแค้นเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดแห่งหนึ่ง
ผมก็จะพูดว่า "แม่ที่เป็นหญิงชาวนาของผม เป็นครูผู้นำพาที่ดีที่สุดของชีวิตผม"
ที่ด้านล่างเวที ไม่รู้มีตากี่คู่ที่คลอด้วยน้ำตา
ผมหมุนตัวกลับมาหันไปหาคุณแม่ที่จอนผมเริ่มหงอกขาว แล้วคำนับท่านด้วยใจอันลึกล้ำครั้งหนึ่ง

Tuesday, November 09, 2004

[Life] เรื่องเกี่ยวกับการตัดสินใจของคนเรา

พอดีไม่อยากเขียนลงในกระทู้ของทางโรงเรียนเพราะมันยาว ก็เลยเอามาใส่ในนี้
เรื่องจากกระทู้ http://www.satit-kku.com/community/index.php?action=post2;start=0;board=3

เราอยากตอบความเห็นหนึ่ง
[quote author=gB alone in the universe link=topic=2202.msg63871#msg63871 date=1099964893]
ไร้สาระ ใน ความมีสาระ คิ๊ดไรมาก ปล่อยตามเวงกรรมเหอะ
[/quote]

ว่า

่ผมคิดว่าเรื่องนี้น่าสนใจทีเดียว ถึงแม้ว่าเรื่องที่เขาเล่ามาอาจจะเป็นจริงหรือไม่เป็นจริงก็ตามที
คนเราถ้ามีปัญญา ก็สามารถที่จะพบเรื่องดีๆกับเรื่องที่ไร้สาระหรือเหตุการณ์ร้ายได้เสมอ

และประเด็นที่อยากพูดก็คือคนเราควรเรียนรู้ที่จะตัดสินใจให้ดีๆมากขึ้น รวมทั้งสิ่งที่ผมสังเกตเห็นอยู่บ่อยๆก็คือ เรามักไม่กล้าทำหรือไม่ยอมคิด และสุดท้ายเราก็ปล่อยให้เวลามาตัดสินใจ ซึ่งก็คือการปล่อยไปตามเวรตามกรรม อย่างที่พูดมา

ผมพบว่าบางทีเราเลือกที่จะปล่อยมันไปก่อนที่จะคิดให้ดีๆ เพราะว่าถ้าเราถามคนอื่น คนอื่นมักจะตอบเราแบบให้ทำใจ ให้ปล่อยไปตามเวรกรรม ก็แน่ล่ะสิ เค้าไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสีย เค้าก็คิดว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่ แล้วก็การตอบเรามาแบบนั้นมันง่ายมากเลยนะ

เวลาที่เกิดเหตุการณ์ที่ตัดสินใจได้ยาก ผมมักจะพยายามหาวิธีที่พอจะเป็นไปได้มาหลายๆอัน แล้วค่อยพยายามตัดออก นอกจากนี้ผมพบว่าในสมัยที่ผมเป็นเด็ก ผมมักจะมีวิธีการที่คิดขึ้นมาได้อันหนึ่ง (ผมเรียกมันว่า default option) แล้วผมจะคิดเลือกว่าจะทำหรือไม่ทำวิธีนั้นดี และตอนที่ตัดสินใจไม่ทำ ก็จะเกิดเหตุการณ์ที่ว่าเราปล่อยมันไปตามยถากรรม (ซึ่งเกิดขึ้นบ่อยมาก ไม่รู้คนอื่นๆเป็นรึเปล่า)

พอได้คิดย้อนหลังกลับไปแล้ว ผมก็มักจะพบว่า จริงๆแล้วมันมีมากกว่าหนึ่งวิธีที่เป็นไปได้ แต่เราไม่ยอมคิดให้ดีๆก่อน เรามัวแต่สนใจกับวิธีแรกที่เราพบ และสิ่งที่เราทำก็คือพยายามถามคนอื่นๆ เพื่อให้เจอคนที่จะคิดแบบเดียวกับเรา ราวกับว่าถ้ามีคนอื่นที่คิดเหมือนเราแล้ววิธีของเรามันจะเป็นวิถึทางอันชอบธรรมอย่างนั้นแหละ แต่จริงๆแล้วมันเป็นแค่ความลำเอียงในการตัดสินใจเท่านั้นเอง (กรณีนี้ผมพบว่าคนเป

ก่อนที่จะปล่อยเรื่องราวต่างๆไป ผมคิดว่าเราควรจะคิดให้ดีๆก่อนว่าเราควรจะปล่อยมันไปจริงรึเปล่า ผมรู้สึกว่าเรายังไม่ได้ใช้สติปัญญาในการแก้ปัญหาต่างๆให้เต็มที่เลย ก็เพราะเราคิดจะให้เวลามาช่วยเราตัดสินใจบ่อยเกินไปนี่แหละ

ถึงแม้ว่าผลการตัดสินใจอาจจะเหมือนเดิม แต่มันรู้สึกดีกว่าจริงๆที่เราได้พบว่า เราได้ไตร่ตรองดีแล้ว อย่างน้อยตอนที่เรื่องแย่ๆได้มาเกิดขึ้นกับเรา เราก็จะไม่รู้สึกผิดหรือเสียใจมากไปกว่าเดิม เพราะรู้ว่าได้ทำดีที่สุดแล้ว และเราจะพบว่า มีอย่างน้อยหนึ่งคนที่เข้าใจเราเสมอ นั่นคือตัวของเราเอง

เอ้อ ที่พูดมาก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่องความรักหรอกนะ แต่เป็นเรื่องการตัดสินใจโดยทั่วๆไปของคนเรา

Monday, November 01, 2004

เรื่องงงๆเกี่ยวกับผลข้างเคียงของ service pack 2

วันนี้แวะมาลองใช้คอมพิวเตอร์ที่ชั้นสองของ Pollock Library พบว่าเครื่องมันได้รับการอัพเกรดแบบสุดยอดมาก คือเป็น Pentium 4 3.2 GHz RAM 2 GB.
อ่านไม่ผิดหรอก สองจิกะไบต์จริงๆ
แต่สิ่งที่ทำให้เรางงที่สุดก็คือว่าทำไม StarOffice 7 ของที่นี่ถึงทำงานได้ตามปรกติ บนเอกสารเจ้าปัญหาของเราทั้งๆที่ลง service pack 2 ไปแล้ว