(เรื่องนี้ผมเขียนตอบข้อความของเพื่อนที่ http://wizardme.spaces.live.com/blog/cns!59943C23FC60FF0B!1962.entry?wa=wsignin1.0&sa=780937976
เนื่องจากว่ามันยาวมาก และหวังว่าจะมีประโยชน์ต่อคนอื่นด้วย จึงนำมาเก็บไว้ในที่ส่วนตัว)
นี่ อย่าต่อว่าทาง สนร เกินกว่าเหตุสิ อย่าลืมว่าเรามาจากประเทศไทย เราก็เป็นเหมือนลูกคนจน จะทำอะไรตามใจชอบมากก็ไม่ได้
ก็เราบอกเองไม่ใช่เหรอว่าเรามจากครอบครัวคนจน เราก็น่าจะเข้าใจข้อจำกัดพวกนี้ดี
เราไม่ควรจะมัวแต่ไปมองพวกคนในฟากรัฐบาลที่ได้เงินมากแบบไม่สมควร เพราะเรื่องเลว ๆ มันก็มีอยู่ทุกวงการ
เป็นต้นว่าในสายทางเอกชน พวกผู้บริหารสถาบันการเงินก็อาจจะได้รายได้มากอย่างไร้ความละอายใจ
พูดง่าย ๆ ก็คือ การเปลี่ยนแปลงบางอย่าง ใช่ว่าจะเป็นไปได้ด้วยกำลังของ สนร แต่เพียงฝ่ายเดียว
อย่างเราตอนทำงานในบริษัท ก็อาจจะมีเรื่องที่เราไม่ชอบอยู่ เราก็อาจจะไม่สามารถเปลี่ยนมันได้
และถ้ามองย้อนกลับเข้ามาที่ตัว แม้แต่ตัวของเราเองก็ยังไม่อาจจะเปลี่ยนสิ่งที่เราไม่ชอบในตัวเราเองได้
ดังนั้นอย่าตำหนิโลกภายนอกเกินกว่าจำเป็นเลย
ส่วนทาง สนร ที่จริงโดยรวมเค้าก็ดำเนินการอย่างมีเหตุผลอยู่ ถึงจะมีอะไรที่ดูแปลก ๆ ในบางพื้นที่ แต่จะให้ถูกต้องหมดก็คงจะไม่ง่ายนัก
ถ้าเราเป็น สนร เอง เราก็อาจจะไม่รู้ว่าตรงไหนที่ไม่สมเหตุผล เพราะไม่รู้ว่าจะเอาข้อมูลที่เชื่อถือได้มาจากไหนดี ก็ต้องรอให้มีคนร้องทุกข์มาพอสมควรก่อน
อย่างเรื่องวีซ่าที่เราบ่นมา แท้ที่จริงไม่ว่าจะได้มาแบบ J1 หรือ F1 ก็จะตกอยู่ในสภาพที่คล้าย ๆ กันทั้งคู่
และที่จริงแบบ J1 ก็ดีกว่า F1 ในกรณีที่มีคู่สมรสมาอยู่ด้วย เพราะ J2 ที่ติดสอยห้อยตามมา สามารถทำงานได้อย่างเต็มรูปแบบ ส่วน F2 ทำงานไม่ได้
ผมเองก็เลี้ยงชีพด้วยตัวเอง ไม่ได้ขอเงินพ่อแม่มา ถ้าทาง กพ เค้าไม่เงินค่าตั๋วเครื่องบินมาเรียน ผมก็แทบจะไม่เงินซื้อตั๋วเครื่องบินมาที่นี่ด้วยซ้ำ เรียกได้ว่าก่อนมา ผมจนยิ่งกว่าวันเสียอีก และนักเรียนทุนที่นี่จำนวนมากก็อยู่ด้วยกำลังของตัวอง แม้แต่รูมเมตผมก็เป็น วันอย่าได้มองโลกในแง่ร้ายเกินกว่าเหตุเลย
ครอบครัวไทยบางกลุ่มอยากให้ลูกเป็นข้าราชการเพราะไม่อยากให้ลำบากก็มี อยากให้เป็นใหญ่เป็นโตเพื่อคอรับชันก็มี
แต่บางกลุ่มก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้น กลุ่มที่ดี ๆ ก็มีอยู่ แต่เราไม่เจอเอง เพราะข้าราชการครูหรือแพทย์ในพื้นที่ห่างไกลก็มีอยู่ พ่อแม้เค้าก็คงไม่อยากจะให้ลูกทำงานแบบนี้สักเท่าไหร่ แต่ในเมื่อเค้าเห็นลูกเต็มไปด้วยจิตวิญญาณที่จะช่วยคนอื่น พร้อมที่จะเผชิญทุกข์น้อยใหญ่ เค้าจึงยอมให้ไปเป็นข้าราชการ ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าจะต้องลำบาก
ผมจบมาจากวิศวะจุฬา โอกาสทางการเงินผมก็มีอยู่ไม่น้อย ยิ่งไปกว่านั้นทั้ง ๆ ที่ผมก็ไม่มีเงิน (พ่อแม่ไม่มีจะให้เหมือนกัน) แต่อยากจะช่วยเหลือพัฒนาคุณภาพการศึกษา จึงได้เลือกเดินทางนี้ พ่อแม่ผมก็ห่วงว่าจะลำบาก (ในดวงของผม พ่อบอกว่าผมจะต้องทำงานหนักไปจนแก่โน่นแหละ ไม่ได้สบายเหมือนคนอื่นเลย) แต่สุดท้ายเค้าก็ยอมให้มาทางนี้ เพราะไม่อาจจะขวางกั้นเจตนาในการทำความดีของคนอื่นได้ และได้แต่หวังว่าผมจะหาทางเอาตัวรอดได้ และไม่ต้องลำบากนัก
วันอาจจะหลงคิดว่า สมัครทุนนี้มาเป็นการขายจิตวิญญาณ แต่สำหรับผมมันไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย เพราะผมสมัครทุนเพื่อจิตวิญญาณของผมเองต่างหาก ผมเตรียมใจที่จะเผชิญทุกข์ไว้ก่อนล่วงหน้า มีความพร้อมที่จะสละความสุขส่วนตนออก แม้จะเป็นไปเพื่อคนจำนวนมากที่ผมไม่รู้จักก็ตามที
ทีนี้ถ้าวกกลับมาเรื่องของเงิน มาดูกันดีกว่าอะไรที่ทำให้มันเกิดความแตกต่างขึ้น เพราะผมก็อยู่อย่างมีความสุข
อันที่จริงผมก็ไม่ใช่คนประหยัด คือไม่ประหยัดในแง่ที่ว่าผมอยากได้อะไรผมก็ซื้อเหมือนกัน แต่มันต่างกันตรงที่ว่า ผมไม่ค่อยอยากได้อะไรต่างหาก
ผมสังเกตคนรอบข้าง เค้าก็ไปเที่ยวโน่นเที่ยวนี่บ่อย ๆ บางคนก็ต้องหาซื้อ smart phone ที่ราคาไม่ค่อยจะถูกเท่าไหร่มาใช้ ว่ากันตามเหตุนี้แล้ว นี่ไม่ใช่ความประพฤติของลูกคนจนเลย (คนจนในที่นี้หมายถึงประเทศไทย) แต่ผมพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ ผมก็มีความสุขของผมได้ด้วยกำลังทรัพย์เพียงน้อยนิด
ผมไม่ต้องเสียเงินเดินทางไกล เพราะใจไม่เร่าร้อนด้วยการแสวงหาสิ่งภายนอก ผมไม่ต้องเสียเงินเล่นสกี เพราะใจไม่เร่าร้อนด้วยความกระหายที่จะเพลิดเพลินในกีฬา ผมไม่ต้องกระเสือกกระสนหาความรักความปรารถนานอกกายอะไรมาก จึงไม่ต้องเสียเงินเพียงเพื่อให้ได้พบให้ได้ปรนเปรอหญิงหรือชายที่เราพอใจ
เมื่อใจไม่เร่าร้อน กายก็ไม่เร่าร้อน เมื่อกายไม่เร่าร้อน ก็ไม่ต้องแสวงหา และก็ไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายเพื่อปรนเปรอตนหรือคนที่เราหลงให้มากมายนัก
ผมมาที่นี่ เงินเก็บผมมีแต่จะเพิ่ม ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้พยายามเก็บ เพราะในเมื่อใจไม่อยากได้ ก็ไม่ต้องอดกลั้นพยายามเก็บเงิน แต่เงินจะถูกเก็บขึ้นมาเรื่อย ๆ โดยอัตโนมัติ ด้วยเหตุอันแสนจะเข้าใจง่ายคือมันไม่ถูกเอาไปใช้ ผมที่ไม่เป็นหนี้มาก่อน ก็ไม่เป็นเป็นหนี้ต่อไป
"จิตเป็นาย กายเป็นบ่าว" นะ ใจของเราจะต้องชุ่มโชกด้วยความอยากก่อน กายถึงจะหลงและเร่าร้อนด้วยความอยากได้
ปัญหาเรื่องค่ากินอยู่ แก้ได้เราก็แก้ แก้ไม่ได้ก็อย่าไปทุกข์ อย่าไปต่อว่าคนอื่นจนเกินเลย คนมีปัญญาเค้ากล่าวไว้ว่า "ปัญหาเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องเผชิญ แต่ความทุกข์เป็นเพียงส่วนเกินของชีวิต"
ย้อนดูคนในอดีต แม้แต่พระพุทธเจ้า พระเยซู ก็ยังต้องเผชิญปัญหาจากสาวกที่ไม่รักดีของตัวเอง คนธรรมดาเดินดินกินข้าวแกงอย่างเราจะหลีกเร้นจากปัญหาก็คงไม่ได้ แต่จะทุกข์หรือเปล่าก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
อย่าลืมที่ผมพูดไว้ตอนก่อนหน้านี้นะว่า แม้แต่นิสัยบางอย่างของเราที่เราไม่ชอบ เราก็อาจจะแก้ไม่ได้ ความเขลาบางอย่างที่เรามีอยู่ บางทีเราก็กำจัดออกไปไม่ได้เหมือนกัน เว้นแต่เราจะมีความเด็ดเดี่ยวอย่างต่อเนื่องและยาวนาน
เช่น คนติดเหล่า บุหรี่ วีดีโอเกม บางทีก็ติดอยู่นั่นแหละ เป็นสิบปีก็ยังติดอยู่ ทั้งที่รู้ว่าไม่ดีหรือไม่มีประโยชน์
บุคคลหรือหน่วยงานอื่น ๆ ก็อาจจะตกอยู่ในสภาพนี้ ปัญหาอันไหนที่เรามีกำลังพอแก้ได้ เราก็พยายามแก้ไป ไม่ปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปเปล่า ๆ อะไรที่แก้ไม่ได้ก็ต้องยอมรับสภาพมัน เพราะรู้อยู่แก่ใจแล้วว่าได้ทำดีที่สุดแล้ว
ภิญโญ
กรกฎาคม 2552