Thursday, October 27, 2005

Study: Lesson learned recently

Tuesday Oct 25, 2005:
I had a quiz on Tuesday and the content of this quiz is beyond the pages described in the schedule. This causes me a little trouble and I got a lesson: if your professor is a bit crazy, be prepared for unexpected things such as incoherence, esp. when what you see is not quite correct. For example, the content of the quiz described in the schedule is only about 15 pages. This is quite impossible. Another example is the previous quiz in which no good question can be generated for quiz in its scope. So, the professor asked a question in previous section instead without prior notice. Fortunately, in that time, I was well prepared for that stuff. But this time, I was not because I did not expect he asked questions in the next section.

You must prepare if your professor is (a bit) crazy.

Wednesday Oct 26, 2005:
'When the war is not over yet, do not count the number of corpse' (Thai idiom). I finished homwork before time, but I forgot to take homework folder with me to class. Oh, I was too careless about the last step: submission. Always be careful until it's really over: submission and approval. For my thesis, this means approval by committee, submission and approval from thesis office and department.

Sunday, October 23, 2005

Life: เพลง `ไกล' ของ มาโนช พุฒตาล

ชอบท่อนเพลงในส่วนของเพลง `ไกล' ของ มาโนช พุฒตาล มาก (ท่อนที่ประมาณเวลา 15.34) มันคือเพลงที่อยู่แทรกกับเพลง หมอผีครองเมือง นะ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมอยู่ๆถึงนึกถึงเพลงนี้ขึ้นมา แล้วก็พยายามตามหาเนื้อเพลงมาหลายวัน แต่ไม่พบ ไปพบเพลงที่ฟังบนออนไลน์ได้ที่

http://mzaa.com/music/mainalbum.asp?Folder=05%2E+Rock+Thai+%2D+%E0%BE%C5%A7%C3%E7%CD%A4%E4%B7%C2%5CThe+Olarn+Project%5CThe+Olarn+Project+%2D+3+%2D+%E4%B5%C3%C0%D2%A4+%28The+Rain+%2C+%C1%D2%E2%B9%AA+%BE%D8%B2%B5%D2%C5%29
(เป็นสถานีเพลงที่มีโฆษณาที่ล่อแหลมยังไงก็ไม่รู้ อย่าไปคลิกไอ้ที่ไม่เข้าเรื่องก็แล้วกัน)

จากนั้นก็ฟังแล้วก็บันทึกซะ ท่อนที่ชอบมีเนื้อว่า

``ปลดปล่อยตนเองไปตามลำธารเปลี่ยว โดดเดี่ยวคนเดียวเหลียวมองดูรอบกาย
โดดเดี่ยวเดียวดายกระหายพบเพื่อนร่วมทาง โลกที่อ้างว้างเส้นทางที่ไกล

อยากบอกให้รู้ความดียังมีอยู่ ความจริงรับรู้เข้าใจด้วยเหตุผล
ดื่มดับกระหายสายน้ำของทุกผู้คน หยุดความสับสนเลือกหนทางเดิน

สัจธรรมจริงแท้มั่นคงดำรงอยู่ ปัญญาความรู้เท่าทันความเศร้าหมอง
ดื่มเถิดเพื่อนพ้องสายน้ำของการแบ่งปัน ร่วมกันสร้างฝันบนฐานความจริง

โลกใหญ่ใบนี้ไม่มีใครครอบครอง ไม่แบ่งเป็นสองเพ่งมองดูแม่น้ำ''

ปัจจุบันยังมีคนแต่งเพลงแบบนี้ออกมาอีกไหมนะ

เห็นมีหลายที่ขายซีดีอยู่ อย่างอันนี้ราคาก็ใช้ได้ http://www.jarungjai.com

Thursday, October 20, 2005

Study: What to do next?

Now, I think I cannot defend my thesis within deadline for sure. My advisor told me that he needs to edit it heavily. My English writing skill is horrible. I really need to do something about it. However, there is good news in that bad news. He edits my thesis heavily because he thinks that there are many new things in my thesis and can get publication out of it. Since I do not have much experience in this field, I do not know if my thesis contains any new things or not.

So, what I need to do is to work as hard as possible, of course. This is a very lesson for me. You cannot be lazy because things in life is so unpredictable. Work hard today and will not regret later.

Okay, that's enough. Let's look at the things I need to do then.
  1. Segment the unhealthy lymph node in case p2h024 and h008
    Need to learn how to use live-wire
    Need to convert Kungkou's ROI data to binary mask for subtraction
    Man, I did check it out. ROISurfaceWriter modify ROI data a little bit, but I have no idea how to programatically know whether the file is modified or not. For original ROI data, the number of voxel of the first ROI is located at bytes 77-80 (the number of ROIs is at bytes 59-60). For modified ROI, the location is at bytes 86-89. But how can I know if it is modified or not?

    Yeah, I got it. We can know about modification programatically by looking at the name length of an ROI. If the length is greater than zero, it is modified and we skip reading the name area. That's it.

    Note that I mentioned about the information location of the number of voxels because voxel coordinates follow the number immediately and the number of voxels is computable and can be used for verification.

    Now (Oct 26, 2005), I found that problem in p2h024 does not come from the nodule station 4 or at least the nodule is not the only major factor. I found that by changing optimization parameters we can achieve good result. The optimization parameters include
    • wa1 = 1.5
    • wa2 = 183.3
    • wa3 = 44.17
    • The encouraging denominator for model augmentation is 12.5, instead of 2.5 in normal case.
    • The optimized affine parameters are
      Affine Transform Parmeters :
      Z Axis (radian): 0.307386965
      X Axis (radian): 0.
      Y Axis (radian): 0.34906587
      X Scale : 1.2376132
      Y Scale : 1.15778553
      Z Scale : 1.00098896
      X Translation : -7.0258193
      Y Translation : 5.23104668
      Z Translation : 32.5653343

      Notice that X and Y scaling factors are very large. Probably, this patient has very long span for aortic arch. The next thing I am going to do is to test this optimization parameters with p2h024 with the nodule station included. If the optimization succeeds, we can conclude that the nodule does not cause any trouble to our method; i.e., it is the matter of optimization only.

      บทเรียนวันนี้ (Oct 26, 2005)
      อ ่า พึ่งรู้ตัวเมื่อสักครู่เองว่าเราเข้าใจอะไรผิดไปบางอย่างเกี่ยวกับการหมุนแก น. ตอนแรกเราคิดว่าถ้าหากเรามีจุดสองจุดคือ (x1, y1, z0) และ (x2, y2, z0) แล้วถ้าจากนั้นทำการหมุนรอบแกน y เราก็น่าจะได้ค่าใหม่ที่เป็น (x1', y1', z0') และ (x2', y2', z0'). แต่ปรากฏว่านั่นเป็นความเข้าใจที่ผิด เพราะถึงแม้ว่าในตอนก่อนหมุนจุดสองจุดนั้นจะมีค่า z ที่เท่ากันคือ z0 แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าหมุนแล้วมันจะเท่ากันได้. ตอนแรกเราคิดว่ามันเท่ากันเพราะว่าโมเดลเส้นลวดที่เราเอามาใช้มันดันให้ผลแบ บนั้นพอดี นั่นคือ x1 = x2 ด้วย. ในความเป็นจริงถ้าหากว่าค่า x กับ z มันเท่ากัน หมุนรอบแกน y ยังไงเราก็จะยังได้ค่าที่เท่ากันอยู่นั่นแหละ (ทั้ง x และ z) เลย. สาเหตุที่มันจะเท่ากันดูได้ง่ายๆจากสมการการหมุนรอบแกน y ที่ว่า
      x' = x cos( a ) - z sin( a )
      z' = x sin( a ) + z cos( a )

      ดังนั้น ถ้าหากว่า x1 = x2 และ z1 = z2 แล้วล่ะก็หมุนออกมามันก็จะได้อะไรที่เท่ากันแน่ๆ

  2. Writing thesis
    • the cookbook of model building
    • numerical data of affine transform parameters obtained
    • stopping criteria for region growing
    • Relation of carina position and crucial point
    • How to control affine transform parameter (translation size)
    • Angular constraints are still measured by voxel coordinate. This should be fixed.

      คำถามที่ต้องเตรียมตอบในช่วงนี้ก็คือ
      1. ล็อกไฟล์ของ PA ทำไมยังไม่สมบูรณ์
      2. Span ของ test cases ที่วัดด้วยมือมีขนาดเท่าไหร่
      3. Local fitting ของ aorta สร้างผลต่างได้แค่ไหน ใช้เวลาเท่าไหร่ เอาออกไปดีไหม (ทำแล้ว Oct 28, 2005 แต่คิดว่าอาจต้องใส่ลงไปตรงบทสรุปอีกครั้ง)
      4. แล้วข้อมูลเกี่ยวกับการทำ model fitting ของ PA ล่ะ ทำไมไม่โชว์

        จ ากคำถามพวกนี้เราเห็นได้ชัดว่าเราต้อง 1. วัดขนาด span ด้วยมือ 2. จัดทำ log file ใหม่ให้สมบูรณ์ 3. เก็บรายละเีอียดของ local optimization ให้ครบ

  3. Set up web for recording programming and important stuff. I'm really forgetful indeed.
    • Getting www network path
    • Setting new pinyotae.net redirection path
    • Just use ms word to write and put it to the web. Simple but effective

  4. Reading CSE530 for exam and preparing for candidacy exam too

Wednesday, October 19, 2005

Life: ที่ว่างในใจกับการก้าวสู่ที่สุดของศักยภาพ

เราทำดีมาติดต่อกันได้สองวันกว่า แต่ก็พบว่าเรายังทำได้ไม่ดีพอ
ที่ว่าได ้ไม่ดีพอก็เพราะว่าเราได้กำจัดกิจกรรมอันไม่เกิดประโยชน์ดังที่ได้ก ล่าวไว้ใน http://pinyotae.blogspot.com/2005/10/life.html แล้ว เราได้ทำงานวันหนึ่งๆประมาณ 10 ชั่วโมงต่อวัน แต่งานก็ไม่ค่อยกระเตื้องเท่าไหร่ ถ้ามามองในมุมของการแสวงหาทรัพยากรการนั่งอยู่กับโต๊ะทำงานก็เหมือนกับการเก ็บเกี่ยวผลจากทรัพยากรทางกายในระดับหนึ่ง และเราก็ใช้ทรัพยากรทางกายนั้นไปหมดแล้ว ดังนั้นเราก็ต้องหาแหล่งทรัพยากรอื่นเพิ่ม ซึ่งเมื่อพิจารณาดูก็พบว่าเรายังไม่ได้ทำใจเราให้สามารถจดจ่อได้อย่างเต็มที ่ กล่้าวคือทรัพยากรทางจิตวิญญาณของเรายังเหลืออีกมากแต่เราก็ยังเอามันมาใช้ไ ม่ได้

เรายังเอามันมาใช้ไม่ได้จริงๆ อย่างในวันนี้ที่เราตัดสินใจเขียนบล็อกนี้ขึ้นมาก็เพราะว่าเรารวบรวมใจเราให ้สงบไม่ได้ สาเหตุมีสองอย่างคือ เรายังมีจิตแสวงหาความสุขความสำเร็จทางโลกเหลืออยู่ อีกสาเหตุหนึ่งก็คือเรามัวแต่ดีใจที่อาจารย์บอกว่า "I think we can get a publication out of it" ซึ่งทำให้เรารู้สึกดีใจมากว่าวิทยานิพนธ์ของเราไม่ใช่ของที่ใครจะมาดูถูกได้ ง่ายๆ

ลองมาวิเคราะห์ดูที่สาเหตุแรก เราก็จะพบว่าถึงเราไม่ได้ต้องการความสุขทางเพศเพราะเราทำให้มันสงบไปได้มากแ ล้ว แต่เราก็ยังปราถนาความสุขแบบอื่นๆอีกเช่น ต้องการให้คนยอมรับว่าเราเก่ง (มันคงเป็นปมด้อยเพราะเรารู้ตัวเราว่าโง่) แต่ก็ขอให้รู้ไว้ด้วยว่า ไม่ว่าเราจะอยากให้เค้ายอมรับว่าเราเก่ง เค้าก็ไม่ได้ยอมรับที่ตัวเรา แต่ยอมรับที่ความสามารถของเรา ดังนั้นถ้าหากเราไม่มีผลงานออกมาติดต่อกันนานๆ ต่อไปคนก็ต้องคิดว่าเราไม่เก่งแน่นอน ดังนั้นขอให้จำไว้เลยว่าไม่ว่าเราจะต้องการมันยังไง มันก็จะไม่เป็นจริงขึ้นมาถ้าหากเราจะลงทุนลงแรงทำเหตุปัจจัย คือผลงาน ให้บังเกิดขึ้น

ส่วนสาเหตุที่สองถือว่าทำให้เกิดวังวนขึ้นมาอีกชั้นห นึ่ง ลองคิดดูนะว่าพอเรามีผลงาน คนก็เริ่มมามองเรา แล้วเราก็จะมัวแต่ดีใจ ยึดติดกับความสุขนั้น จนก่อเกิดเป็นความผิดพลาดและเราก็จะตกวกกลับมาในรูปแบบเดิมอีก กล่าวคือ พอดีใจก็จะใจไม่สงบ (ใจหมดที่ว่างใช้สอย) ใจไม่สงบก็จะทำงานไม่ได้ ทำงานไม่ได้งานก็ไม่เสร็จ งานก็ไม่เสร็จเราก็จะทุกใจอีก ซึ่งมันก็จะกลายเป็นวังวันอันน่าอนาถใจ

แล้วจะทำยังไงดีล่ะ
เราก็ควรที่จะเลิกหวังคำชื่นชมต่างๆ อย่าลืมว่าคำสรรเสริญจัดเป็น 1 ในโลกธรรม 8 ผู้ที่หวั่นไหวกับมันย่อมไม่อาจพ้นจากวังวนของสังสารวัฎไปได้ เราต้องทำใจให้ไม่หวั่นต่อโลกธรรมให้ได้เสียก่อน จากนั้นก็เรียกที่ว่างในใจออกมาด้วยการสงบลมหายใจ กระทำกรรมฐานให้เกิด แล้วที่เหลือกก็คือการศึกษาและทำงาน อันถือเป็นการเดินไปบนมรรคาสู่ความสำเร็จ เพราะเหตุปัจจัยที่จะทำให้เราบรรลุเป้าหมายจะเกิดขึ้นมาเรื่อยๆเอง และจะเกิดขึ้นมาในเวลาที่ไม่นานจนเกินไป

สุดท้ายก็ขอให้จำไว้เสมอว่า เราต้องไม่มีใจวอกแวกแส่ส่าย เราจะออกไปจากเส้นทางที่ตั้งใจไม่ได้

(๑๙ ตุลาคม ๒๕๔๘ ๑๘.๐๑ นาฬิกา)

Monday, October 17, 2005

Life: ความผิดพลาดที่ทำให้ไปไม่ถึงที่สุดของศักยภาพ

ตั้งแต่วันศุกร์มาเราทำงานได้น้อยมาก จนถึงตอนนี้คือเช้าของวันจันทร์พี่งจะได้เริ่มเขียนวิทยานิพนธ์ต่อ สรุปก็คือเราทำเวลาหายไปประมาณสามวัน ขอบของศักยภาพของเรายังอยู่อีกไกลเหลือแสน และเราพบว่ามูลเหตุหลักที่ทำให้เกิดเหตุการณ์นี้มีอยู่สามอย่างคือ
  1. ความพอใจในกาม (sensual indulgence) ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมบทลงโทษเรื่อง "ภิกษุจงใจทำให้อสุจิเคลื่อน" มันถึงเป็นอาบัติหนักได้ พลังงานทางจิตที่สะสมไว้หายหมดเลย แทบจะไม่สามารถจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งแม้แต่เรื่องเรียนได้อย่างเต็มที่เพร าะพลังงานมีไม่ค่อยพอ

    เมื่อมีไม่พอ เราก็จะคิดว่า "พักผ่อนก่อนก็แล้วกัน" พอคิดอย่างนี้แล้วเราก็จะหาอะไรทำที่เป็นสันทนาการแล้วก็ยึดติดกับมันอีกกว่ าพลังงานทางจิตจะฟื้นได้ก็ยิ่งใช้เวลามากกว่าเดิมเข้าไปอีก และนี่แหละที่ทำให้เวลาเราหายไปมากมายเหลือเกิน

  2. มัวแต่ยุ่งเรื่องของชาวบ้าน เ ช่น การอ่านข่าวมากเกินไปการวนเวียนไปอ่านเว็บบอร์ดต่างๆ พอมาลองทบทวนแล้วเราพบว่า แม้แต่ข่าวเราก็ไม่ต้องอ่านทุกวันก็ได้ เราควรจะปล่อยวางข่าวบ้านการเมืองพวกนั้นบ้าง คิดดูก็แล้วกันว่าการทำสมาธินั้นสำคัญกว่าการอ่านข่าวของชาวไทยแน่ แต่เรากลับไม่ได้ทำบ่อยขนาดอ่านข่าวหรือเว็บบอร์ด ดังนั้นถ้าเปลี่ยนเวลาตรงนั้นมาทำสมาธิแทนมันจะดีขนาดไหน

    ก ารดูกี ฬาก็เช่นกันถึงจะเป็นเรื่องราวของเพ็นสเตท แต่เมื่อมาคิดดูแล้วเราก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรจากข่าวสารพวกนั้นเท่าไหร่นะ เราอาจจะต้องรู้อะไรบ้างก็จริงแต่ประโยชน์ที่ได้ก็ยังนับว่าไม่ทำให้เราพอใจ ได้ ถ้าอยากอ่าน back issue ของ collegian ก็นี่เลย http://www.collegian.psu.edu/BACK_ISSUES/BACK_ISSUES.ASP
    มันมีหน้าแรกเป็นรูปให้ดูแบบ pdf ด้วย ดังนั้นอาทิตย์นึงก็ดูข่างตรงหน้าหนังสือพิมพ์แล้วก็เลือกๆอ่านเอาก็พอเพียงแล้วล่ะ

  3. ไม่ยอมทำงานแบบติดต่อกันแบบ non-stop ม ันสำคัญมากที่เราจะทำงานแบบติดต่อกันนานๆและจดจ่อให้ดีที่สุด เพราะ overhead ในการเปลี่ยนกลับไปมามันสูงมาก ดังนั้นก็ขอให้พยายามทำให้ติดต่อกันมากๆ มีระเบียบวินัยมากขึ้นด้วยนะ

Concluding Remarks
ค งถึงเวลาที่เราจะต้องปล่อยวางจุดประสงค์ทางโลกให้หมดแล้วล่ะ เราไม่เหมาะที่จะอยู่บนสถานะแบบนั้นจริงๆ พวกความสุขทางโลกต่างๆก็คงต้องถึงเวลาที่เราจะต้องเอามันไปทิ้งแล้ว เพราะตัวของความสุขนั่นแหละที่ทำให้เราทุกข์อยู่เสมอ อย่าคิดที่จะเสพสุขเป็นอันขาดเพราะพลังงานทางจิตจะลดลงอย่างมากแล้วเราก็จะท ำงานไม่เสร็จแล้วกลับไปทุกข์ใจอีก ตอนนี้สิ่งที่เราควรทำคือตั้งหน้าตั้งตาเรียนเพื่อให้จบหน้าที่ทางด้านนี้ให ้เร็วที่สุด การกระทำอื่นใดที่จะขัดต่อจุดมุ่งหมายอันดีนี้่ขอให้ปล่อยวางเสีย

แต ่ข่าวสารบ้านเมืองก็ไม่ควรถูกนำไปทิ้งโดยสิ้นเชิง ก็ขอให้อ่านจากแหล่งอันมีสาระก็แล้วกันนั่นคือ "มติชนสุดสัปดาห์" โดยเฉพาะของนิธิ เอียวศรีวงศ์ (ไม่รู้เขียนถูกรึเปล่า) เขียนได้ดีมากๆ นอกนั้นก็ดู back issue เอาจาก daily collegian ก็แล้วกัน ลองทำดูและให้ทำเฉพาะวันอาทิตย์ ต่อไปนี้ขอให้อดกลั้นใจลองทำดูเพราะไม่เช่นนั้นเราจะมีเวลาไม่พอที่จะทำงานของเราให้เสร็จ

ดูได้ว่าเวลาของเรามีน้อยแค่ไหนได้ที่นี่
http://pinyotae.blogspot.com/2005/10/blog-post.html จริงๆแล้วนอกจากเรียนหนังสือแล้วเราแทบไม่สามารถทำเรื่องอย่างอื่นได้อีกแล้ ว ดังนั้นความทุกข์จากงานที่ไม่เสร็จจึงเกิดขึ้นทันทีที่มีความประมาทเกิดขึ้น

Life: Stairway to Graduation

บทนำ

วันนี้ได้รับ comment คืนมาจากอาจารย์ที่ปรึกษาพบที่ผิดบานตะไท ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของ definition, wording, consistency ในรูปภาพและสมการ และเรื่องการใช้ article (a, an, the) (ฮ่วยพูดไปแล้วจะว่ามันผิดไปซะทุกจุดก็ได้เลยนี่หว่า) ถ้าเราอยากจะเรียนให้จบในระดับปริญญาเอก เราคงไม่สามารถปล่อยความสามารถด้านการเขียนของเราให้มันเป็นอะไรแย่ๆแบบนี้ไ ด้ เราคิดว่าเราต้องเร่ิมฝึกฝนการเขียนให้มากขึ้นกว่านี้ ต้องพยายามนะภิญโญ เธอจะปล่อยให้ชีวิตล่องลอยไปแบบนี้ต่อไปไม่ได้ "ปลาเป็นย่อมว่ายทวนกระแสน้ำ คนเป็นย่อมว่ายทวนกระแสใจ" ถ้าไม่ตั้งมั่นเราจะไปไม่ถึงจุดหมายของชีวิต เราจะชี้นำจิตวิญญาณของผู้คนได้อย่างไรถ้าหากว่าเรายังไม่สามารถฝ่ากระแสใจข องตัวเองได้

พยายามหน่อยนะ ทรัพยากรที่เป็นวัตถุมีครบแล้ว แต่ถ้าหากไม่ใส่ทรัพยากรด้านการกระทำและความตั้งมั่นลงไปเหตุปัจจัยที่จะทำใ ห้งานสำเร็จย่อมมีไม่ครบ แต่ก่อนเราหวังว่าถ้ามีทรัพยากรด้านวัตถุเราจะต้องทำสำเร็จแน่ นั่นเป็นเพราะว่าเรายังไม่ได้มองปัญหาให้ครบถ้วน ในสมัยก่อนเราไม่ได้มองไปที่ตัวของเหตุปัจจัยเลยทำให้เรามักทุ่มไปด้านใดด้า นหนึ่งแล้วก็ไปไม่ถึงจุดหมาย ซึ่งไปไม่ถึงก็เพราะเราแก้ปัญหาผิดทาง คือเราลืมไปว่าเหตุปัจจัยต้องมีครบเสียก่อน อันว่า "เหตุเกิด ผลก็ต้องเกิด เหตุไม่เกิด ผลก็ไม่เกิด" และนั่นคือที่มาของหัวข้อของบล็อกในวันนี้ เราต้องการรู้เหตุปัจจัยที่จะทำให้สำเร็จการศึกษา ซึ่งเราเรียกเหตุปัจจัยนั้นว่า "stairway to graduation"

Stairway to Graduation
ทางด้านทรัพยากรวัตถุ
  1. การเงิน

    โดยปรกติเรามีไม่ขาด จนกว่าจะหมดสัญญาดังนั้นรีบๆเรียนให้จบซะ เวลามันผ่านไปไวเหลือเกิน ความประมาทจะนำพาแต่ความทุกข์ให้เราเท่านั้น เราต้องทุ่มเทพลังตลอดไม่งั้นเราคงเอาตัวไม่รอดภายในเวลาที่กำหนดได้ เอ้า สู้ต่อไปนะ

  2. คอมพิวเตอร์

    อาจจะติดขัดนิดหน่อยเพราะเครื่องที่เร็วพอในแล็บอาจจะมีไม่ครบ แต่ถ้าเราไปทำงานที่แล็บเป็นประจำและมีผลงาน เชื่อได้เลยว่า Dr. Higgins ต้องซื้อมาเพิ่มอีกเครื่องหนึ่งเป็นแม่นมั่น ดังนั้นเราก็ต้องพยายามต่อไป และก็ควรจะอดออมเงินไว้ใช้ในอีกทางหนึ่งด้วย

    อย่างไรก็ตามเราจะไม่ซื้อเครื่องคอมใหม่เป็นอันขาด ตราบใดที่วินโดวส์ยังมองเห็นแรมได้แค่ 3GB เพราะคิดว่าเมื่อมาเจอกับความมือเติบเรื่องเมมโมรีของเรา มันคงหมดไปอย่างรวดเร็ว อ้อเรารอ CPU แบบประหยัดพลังงานอยู่นะ เพราะคิดว่าต่้อไปคงต้องคิดเรื่องนี้กันบ้าง และนี้คงจะเป็นเครืองคอมเครื่องสุดท้ายที่เราจะซื้อก่อนจบการศึกษา

  3. หนังสือ
    มีครบแน่ๆเพราะทาง กพ ให้เงินเรามาเพียงพอต่อความต้องการ เรามีมากกว่าที่เราจำเป็นจะต้องใช้ด้วยซ้ำ เหลือแต่ว่าเราไม่ยอมอ่านเองนั่นแหละ

ทางด้านทรัพยากรความรู้
  1. คณิตศาสตร์พื้นฐาน
    • Linear Algebra
    • Vector Calculus
    • Probability and Statistics
    • Differential Equation

      คงจะเห็นกันชัดๆแล้วใช่มั้ย ว่าเรายังมีไม่ครบเลยสักอัน ดังนั้นเรื่องที่จะเรียนจบง่ายๆน่ะเลิกคิดได้เลยตราบใดที่ปัญหาพวกนี้ยังอยู ่กับเรา

  2. ด้านการประยุกต์ใช้ในเชิงวิศวกรรม
    • Image Processing Theories and Filter Usage
    • Model Fitting and Optimization Theory

      ถ้ามาลองสังเกตดูก็จะพบอีกเช่นกันว่าจริงๆแล้วเราไม่ค่อยรู้จักเทคนิคการใช้ พวกฟิลเตอร์เลย เราไม่ค่อยรู้จักคุณสมบัติมันทำให้หยิบใช้ไม่ค่อยถูก ส่วน Optimization theory นี่แทบไม่มีอะไรอยู่ในหัวของเราเลยนะเนี่ย ถ้าต้องใช้จริงจังนี่เรียกได้เลยว่าไม่น่าจะเอาตัวรอดไปได้

  3. ด้านความรอบรู้ในงานวิจัย
    ในขณะที่เราทำงานของเรา เราก็ควรจะรู้จักเทคนิคของคนอื่นๆด้วย เพื่อที่จะทำให้เราได้รู้ว่าเราจะสามารถนำของต่างๆมารวมกันให้มีผลลัพธ์ที่ด ีขึ้นได้หรือไม่ หรือว่ามีเทคนิคอื่นที่ดีกว่าที่เราทำอยู่หรือเปล่า ของพวกนี้ถ้าไม่รู้ก็อาจจะไปผิดทาง ทำงานวิจัยที่ไม่เข้าท่าออกมาได้

    แน่นอนเราไม่มีอะไรสักอย่างเลย แล้วแบบนี้จะทำตัวเหยาะแหยะอยู่ได้อย่างไร เอ้าพยายามต่อไปอีกนะ การหยุดพักคือทางสู่ความเกียจคร้านของเราโดยแท้

ทางด้านความชำนาญ
  1. ความสามารถในการเขียนภาษา C++

    อุเหม่ เราก็ยังไม่เก่งอยู่ดีนั่นแหละ เราว่าจะทำ code-segment library ให้เป็นรูปเป็นร่างแต่ก็ไม่ได้ทำสักที ไม่ใช่ว่าเราไม่มีเวลาหรอก แต่ว่าเราแย่เกินไปที่จะใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ต่างหาก เรามีอะไรที่ต้องศึกษาอีกมากจริงๆ

  2. ความสามารถในการออกแบบโปรแกรมให้มีความยืดหยุ่นรองรับการเปลี่ยนแปลงได้ง่าย

    สำหรับข้อสองกับข้อสาม พวกนี้ต้องมานั่งทบทวนกันหใหม่ให้จริงๆจังๆแล้วล่ะ ไม่งั้นคงไม่รอดเป็นแม่นมั่น ประสิทธิภาพในการสร้างผลงานซอฟต์แวร์อยู่ที่ข้อสองกับข้อสามนี่แหละ

  3. ความสามารถในการออกแบบการทดลองเพื่อวัดผล
    ดูคอมเมนต์ข้อสองได้เลยนะ เราต้องทบทวนเรื่องนี้ให้หนัก และหันมาทำทุกอย่างอย่างเป็นระบบ

ทางด้านบุคคล
  1. อาจารย์ที่ปรึกษา
    นี่เรียกได้เลยว่าเป็นปัจจัยเดียวที่เรารู้สึกว่าเราได้ของที่ดีที่สุดมา แต่ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือตัวของเรา เรากลับทำไม่ดีเลย ให้ตายเหอะ

  2. คณะกรรมการวิทยานิพนธ์
    ถ้าเป็นตอนปริญญาโทนี้คิดว่าเราคงไม่มีปัญหาแล้วล่ะ แต่ตอนเอกก็คิดมาให้ดีๆร่วมกับอาจารย์นี่แหละ ไม่น่าจะเป็นปัญหา

  3. เพื่อนร่วมงาน
    มาลองดูดีๆ เราพบว่าคนรอบตัวที่เราเจอในแล็บมันช่างดีเสียนี่กระไร กลายเป็นว่าเราเป็นคนที่แย่ที่สุดแล้วนะ สรุึปก็คือจริงๆแล้วของพวกนี้แทบไม่เป็นปัญหาอะไรกับเราเลยนะ

  4. เพื่อนอื่นๆที่อยู่รอบๆตัวเรา
    ถ้าเป็นชาวไทยก็อาจจะเป็นปัญหานิดหน่อย แต่เราพบว่าตอนนี้เค้าก็เข้าใจแล้วว่าเราอยากใช้เวลาทำงานมากๆและก็ไม่ค่อยม ายุ่งกับเราแล้ว ดังนั้นต้องใช้เวลาช่วงนี้แหละจัดการงานทุกอย่างให้เสร็จ แล้วก็ศึกษาต่อไปว่าเราต้องวางตัวอย่างไรจึงจะทำให้ความสัมพันธ์ดีๆยังอยู่ไ ด้และไม่เป็นภาระกับเรา (จะว่าไปจิตวิญญาณที่อยากช่วยคนอื่นของเรามันแรงจริงๆ ขนาดตอนนี้ยังคิดอยู่เลยว่าถ้าพวกนั้นเกิดมีปัญหาขึ้นมาเราจะช่วยพวกเค้าได้ อย่างไร ภายใต้ระยะห่างขนาดนี้)

ทางด้านภาษาและการติดต่อสื่อสาร
  1. ความสามารถในการเขียนเรื่องเชิงวิชาการ

    เราพบว่าฝีมือเราห่วยแตกบรรลัย แต่ก็ไม่น่าแปลกเพราะว่าธีสิสที่เขียนไปนั้นใช้เวลาถือว่าน้อยแล้วเราก็ไม่ไ ด้มาอ่านตรวจทานเท่าไหร่เลยว่ามันดีแล้วหรือไม่ เราต้องมาทำการอ่านและศึกษาเรื่องเหล่านี้อย่างจริงๆจังๆแล้ว และคงต้องทุ่มเทให้สามารถทำให้ดีๆได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วย

    การอ่านซ้ำและแก้ไขเป็นเรื่องทีสำคัญมากๆ เพราะขนาดที่เขียนเป็นภาษาไทยตอนนี้ เรายังพบเลยว่า เราจะเขียนได้ดีกว่านี้ถ้าหากเรามาอ่านซ้ำแล้วปรับปรุงใหม่ ดังนั้นพอเป็นภาษาอังกฤษ เรายิ่งต้องทำการทบทวน โอ้ชีวิตแท้จริงมันยากเย็นเหลือเกิน

  2. ความสามารถในการพูดและฟังเพื่อติดต่อสื่อสารให้ง่ายยิ่งขึ้น

    อุตส่าห์ซื้อหนังสือพร้อม CD ที่ได้ชื่อว่าดีที่สุดมาแล้ว ดังนั้นต้องใช้ประโยชน์ให้เต็มที่นะ หนังสือ "The American Accent Guide" ของ Beverly Lujan นี่ท่าทางจะดีมากๆแล้วล่ะ หาเวลามาอ่าน ฟัง และ พูดให้ได้ก็พอ

  3. ความเป็นธรรมชาติ
    คงอยู่ที่การฝึกฝนและการดูจากหนังแล้วล่ะมั้ง

  4. ความถูกต้อง (ไวยากรณ์ต่างๆ)

    ต้องทำอย่างเป็นระบบ ศึกษาได้จากตัวอย่างของหนังสือเฮียหงวน เราน่าจะลองมาทำเป็น electronic file กันดูหน่อยนะ วิจารณ์กันแบบประโยคต่อประโยค เพื่อให้จัดหมวดหมู่ต่างๆได้ง่าย แต่ไม่ควรทำใส่บล็อกเพราะมันอาจจะจมธรณีได้ง่าย ควรจะเซฟไฟล์ใส่ไว้ใน gmail แทน อาจจะทำให้ใส่ word หรือ html/xml แทน แต่คิดว่า word น่ะดีแล้วจะได้ไม่ต้องศึกษาอะไรเพิ่มมาก ง่ายดีและไม่ออกนอกประเด็น

    อันนี้เป็นการศึกษาในเชิงของประโยคเดี่ยวหรือสองสามประโยคเท่านั้น เพื่อเป็นการสร้างพื้นฐานของาการเขียนประโยคที่ถูกต้องและได้ใจความ

  5. การจัดเรียงเนื้อหาให้สมบูรณ์ อ่านง่าย ไหลลื่น

    หลังจากทำข้อสี่ได้สักระยะหนึ่ง เราก็ต้องทำการจัดการเรียงของต่างๆเข้าด้วยกันให้เนื้อหามันดูดี ไม่ควรจะมีคอมเมนต์กลับมาว่า 'Put it in more sensible location' อย่างวันนี้ เราอาจจะเขียนถูกแล้ว แต่กลับไม่สามารถจัดวางในที่ที่ทำให้เนื้อหาประติดประต่อไหลไปอย่างราบลื่นไ ด้

ทางด้านจิตวิญญาณ
เรียกได้เลยว่ามันเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดที่จะทำงานให้สำเร็จ
  1. ความมีระเบียบวินัย

    อย่างในบล็อก http://pinyotae.blogspot.com/2005/10/life.html เราบอกว่าจะอ่านข่าวเฉพาะตอนวันอาทิตย์ เราก็ต้องทำเฉพาะวันอาทิตย์จริงๆ เพราะถ้าผิดพลาดไประงับความอยากรู้เรื่องของชาวบ้านไม่อยู่ ม้ันก็จะเริ่มผิดพลาดต่อๆไปเหมือนกับโดมโนที่จะล้มมาต่อๆกันเรื่อยๆ

    จำไว้ให้ดีเลยว่าความผิดพลาดที่ยุ่งยากของเรามันเริ่มมาจากความผิดพลาดเล็กๆน้อยๆของเรา

  2. ความมั่นคงและความตั้งมั่นทางจิตใจ

    เราจะต้องไม่วอกแวกออกจากงานที่ทำ และเราจะต้องมั่นคงพอที่จะต้านการรับความสุขจากการนอน และความพอใจในกามได้ ถ้าเราไม่ตั้งมั่นพอก็จะเกิดความประมาท เมื่อเกิดความประมาทก็จะเกิดความผิดพลาดเล็กน้อยขึ้น เมื่่อเกิดความผิดพลาดเล็กน้อยขึ้นมันก็จะล้มต่อๆกันไป ยากที่จะหาจุดสิ้นสุดได้

  3. ความจดจ่อที่ได้ดุลระหว่างตัวอักษรและความเข้าใจ

    เวลาอ่านหนังสือ ในขณะที่เราจดจ่อกับข้อความ เราก็ต้องจดจ่อกับความหมายของข้อความด้วย หลายครั้งที่เราไม่ทำให้เกิดความได้ดุลขึ้น ทำให้อ่านแล้วไม่เข้าหัว (จดจ่อกับตัวอักษรมากเกินไป) หรือ อ่านแล้วใจเตลิดออกไปยังกิ่งก้านสาขาของความรู้มากเกินไป (จดจ่อกับความเข้าใจและเกิดการแตกแขนงของความรู้ไปแบบไม่รู้จบ แต่ไม่เข้าประเด็นของเรื่องที่เรียนอยู่)

  4. ความไม่ประมาท

    อย่าได้คิดว่า "พักผ่อนก่อนแล้วค่อยมาทำงาน" อะไรทำนองเนี้ย เพราะว่าเราทำอย่างนี้มาหลายทีแล้ว แล้วก็พบว่าซวยตลอด มันเป็นความผิดพลาดแบบโดมีโนล้มจริงๆ เราต้องตั้งใจเดินให้ถูกทาง ถูกท่า ถูกวิธี ในทุกๆรายละเอียดจะต้องถูกต้องหมด ถ ้าเราคิดว่าการกระทำของเรามันมีอะไรที่ขัดแย้งกันกับทางสู่เป้าหมายสูงสุดแล ้วล่ะก็ จำไว้เลยว่าเรากำลังจะล้ม เพราะความขัดแย้งนั้นเหมือนกับการที่ขาเราขัดกันนั่นเอง

    ดังนั้นสังเกตให้ดีๆ อย่าให้ผิดแม้แต่อะไรที่เล็กๆน้อย เพราะความประมาทเพียงเล็กน้อยสำหรับคนอย่างเรามันคือจุัดเริ่มแห่งความยุ่งย ากทั้งมวล

ทางด้านเวลา
  1. ปริมาณเวลาที่ต้องใช้

    เราประมาทเรื่องนี้อยู่เสมอเลย เราเป็นคนที่ทำงานช้าและไม่ค่อยต่อเนื่องทำให้เวลาที่ต้องใช้มากกว่าคนอื่นแ บบผิดปรกติ ดังนั้นเราจะต้องทำใจตรงนี้แล้วยึดหลักไม่ประมาท ไม่งั้นสิบปีก็ไม่พอแน่นอน

  2. การจัดสรรเวลาที่เหมาะสม

    เราจะต้องมั่นใจว่าในวันหนึ่งๆ เราทำงานหลักโดยใช้เวลาไม่ต่ำกว่าหกชั่วโมงเสมอ และเนื่องจากเห็นแล้วว่าพวกความรู้ที่เราขาดไปมันมากกว่าที่เราเคยรู้สึกตัว มากนัก ดังนั้นเราจะต้องฝึกฝนพวกนั้นอย่างน้อยวันละสองชั่วโมง ไม่งั้นก็อย่างที่รู้กัน "ไปไม่รอดแน่นอน"

  3. ช่วงการใช้เวลาที่ทำให้เกิดประสิทธิภาพที่สุด

    เพราะอย่างไรงานหลักก็คือสิ่งที่สำคัญที่สุด เราจะต้องเริ่มต้นทุกๆวันด้วยเรื่องของงานหลักเสมอ เราจะไม่เริ่มต้นด้วยเรื่องของการอ่านข่าว หรือ งานรองเป็นอันขาด เราจะต้องเริ่มจากเรื่องที่ยุ่งยากที่สุดแทนที่จะเป็นเรื่องที่ง่ายที่สุด เหตุผลก็คือเรื่องที่ยากที่สุดมีความไม่แน่นอนที่สุดและเราต้องทำจนเราเห็นท างสู่ความแน่นอนขึ้นมา
Candidacy and English Exam

เป็นของที่ต้องสอบให้ผ่าน ถ้าไม่ผ่านก็จะโดนไล่ออก ประมาทไม่ได้เลย ยังไงๆเราก็ต้องทำการฝึกฝนอยู่ตลอด ยิ่งผ่านเร็วยิ่งดี ถ้างั้นทำไมไม่ให้ผ่านที่เทอมที่จะถึงนี้เลยล่ะ จัดการให้เสร็จที่เทอม Spring 2006 ได้เลยนะ จะเริ่มอย่างจริงจัึงตอน Thanks giving นี่แหละ

ทางด้านความยากของหัวข้อวิจัย
อ ันนี้เป็นปัจจัยที่เรียกได้เลยว่ามีความไม่แน่นอนเป็นที่สุด เราไม่สามารถดูออกได้เลยว่าจริงๆแล้วมันยากหรือง่ายกันแน่เพราะว่าเราอาจจะข าดความรู้ความชำนาญหรือว่าเราเลือกวิธีที่ผิดพลาดมาใช้งานก็เป็นได้

สรุป

เ ห็นแล้วใช่ไหมว่าปัจจัยที่จะทำให้เรียนจบได้ไม่ใช่มีน้อยๆนี่ขนาดยังไม่รวมพ วกรายละเอียดเช่นสุขภาพเข้าไปด้วยนะ ถ้าสังเกตดูให้ดีๆเราจะพบว่าเรายังบกพร่องอยู่หลายอย่าง ด้วยเหตุนี้เองเราพูดได้คำเดียวเลยว่าถ้าหากเราไม่ทำอะไรสักอย่างมีหวังไม่จ บกันพอดี เมื่อเห็นเป็นอย่างนี้บล็อกนี้จึงถูกสร้างขึ้นมาเพื่อวิเคราะห์และแก้ไขปัญห าอย่างเป็นระบบ สำหรับในเวลานี้ความตั้งมั่นและทุ่มเทให้กับงานหลักคือสิ่งที่เป็นปัญหามากท ี่สุด ระเบียบวินัย และ ความไม่ประมาทจะต้องถูกสร้างขึ้นมาให้สมบูรณ์ก่อนเสมอ พร้อมๆกับการแบ่งเวลาไปศึกษาเรื่องที่เป็นเหตุปัจจัยสู่การเรียนจบอยู่เรื่อ ยๆอย่างไม่ย่อท้อ ความสำเร็จจะเกิดขึ้นเองเมื่ือเหตุปัจจัยต่างๆมีครบ และจะไม่มีทางเกิดขึ้นหากเหตุปัจจัยที่จำเป็นยังเกิดขึ้นไม่ครบ

ป.ล.
ยิ่งนานเรายิ่งรู้สึกเคารพคำพูดของพระพุทธเจ้าที่กล่าวไว้กับ เอหิภิกขุอุปสัมปทา ที่ว่า
"เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด ธรรมของตถาคตกล่าวไว้ดีแล้ว เธอจงประพฤติพรรมจรรย์ เพื่อให้ถึงความสิ้นสุดแห่งทุกข์เถิด" คำกล่าวของพระพุทธองค์มันยอดเยี่ยมเหลือเกิน ถ้าไม่ประพฤติพรรมจรรย์เราไปไม่ถึงความสิ้นสุดแห่งทุกข์แน่ๆ เราต้องยอมทิ้งความสุขทางโลกไปเสียแล้วล่ะ เพราะไม่อย่างนั้นแล้วเราคงไม่อาจไปถึงเป้าหมายของชีวิตของเราได้ (Oct 17, 2005 4.30am)

ป.อ.
หนทางชีวิตยังยาวไกลเหลือเกิน แต่เราก็พบว่าเรายังตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของดวงดาวไม่เคยออกไปได้เลยแฮะ ตอนที่อ่านเรื่องทำนายประจำปีจาก astrology.com เค้าบอกว่า "ปีนี้เป็นปีแห่งการศึกษาของเรา แต่ไม่ได้ทำไปเพราะความชอบ แต่ทำไปเพื่อให้สำเร็จการศึกษา" โอ้ มันช่างพูดได้ถูกต้องมากมายเสียนี่กระไร แสดงว่าทั้งความดีและความเลวที่เราทำผ่านๆมา คงแทบไม่มีอันไหนเป็นกรรมหนักๆให้เราเปลี่ยนชีวิตในภพชาตินี้ได้เลยสินะ

ป.ฮ.
เรื่องที่ต้องศึกษาที่เขียนไว้ข้างบนหนักพอแล้ว ตอนนี้ไอ้ความคิดที่จะหางานทำหรือศึกษาการเขียนภาษาจาวาให้มันจ๊าบๆหน่อยหรื อว่าเรื่องเล่นกีฬานี่คงต้องเลิกคิดกันได้แล้วนะ แค่รู้จักออกกำลังกายบ้างก็พอแล้ว ไม่อย่างนั้นเราคงเอาตัวไม่รอดแน่นอน พึ่งจะรู้ตัวว่าเรากำลังจะไม่รอดก็วันนี้แหละ โชคยังดีที่เรายังไหวตัวทัน คงพอจะมีเวลาเตรียมตัวก่อนความทุกข์จะมาถึงได้บ้าง

อืม หนทางอีกยาวไกลสู้ต่อไป ภิญโญ แท้ประสาทสิทธิ์
(Oct 17, 2005 8.15 am ใช้เวลาเขียนบล็อกนี้นานมากจริงๆ เขียนมาตั้งแต่ตีสี่)

Saturday, October 08, 2005

งานที่ต้องทำในช่วงนี้

งานที่ต้องทำในช่วงนี้
(ที่เขียนชึ้นมาก็เพื่อให้เราสามารถจัดสรรเวลาให้ได้อย่างถูกต้องมากขึ้นน่ะนะ)

Major:
1. Thesis writing
2. (Done-Oct 11, 2005) Abstract for CSE530
3. ฝึก vector calculus ให้มากขึ้น

Minor:
1. (Done-Oct 9, 2005) ส่งเปเปอร์ไปหาสมพล
2. (Done-Oct 9, 2005) โทรไปหาเตี๊ยงเซ็ง (ส่งเมล์เอกสารไปแล้วด้วย)
3. (Done-Oct 11, 2005) ทำความสะอาดห้อง
4. (Done-Oct 17, 2005) เขียนเรื่องเกี่ยวกับการสะสมความรู้และประสบการณ์ในชีวิต
5. (Done-Oct 15, 2005) แก้อีเมล์คุณบุตรนาคและ upload ข้อมูลใหม่ขึ้นเว็บ

Long Term:
1. ฝึกฝนสมาธิ
2. ฝึกฝนการเขียนภาษาอังกฤษ
3. ฝึกฝนการฟังและพูดภาษาอังกฤษ
4. เตรียมสอบ Candidacy Exam

เ ราพึ่งสังเกตว่าเดี๋ยวนี้เราทำงานไม่ค่อยสำเร็จเพราะว่าเราไม่เคยกะเลยว่าง านแต่ละอันต้องใช้เวลาเท่าไหร่ และเรามีเวลาเท่าไหร่ ดังนั้นต้องมาเริ่มวางแผนกันก่อน

เริ่มด้วยการคิดสมมติว่าเราอยู่ตอน ม.ปลายก่อน เพราะนั่นเป็นช่วงเวลาที่ไม่เคยเรียนแล้วรู้สึกว่ามันน่าอึดอัดอะไรทั้งสิ้น แสดงว่าเวลาที่ใช้น่าจะเพียงพอและไม่มากเกินไป

ปรกติเราจะเริ่มเรียน ตอน 8.30am และเลิก 3.30pm ลบพักเีที่ยงออกไปก็จะเป็นว่าเราอยู่ในโรงเรียนวันละ 6 ชั่วโมง จากนั้นเราไปเรียนพิเศษอีกวันละ 4 ชั่วโมง แสดงว่าทำงานวันละ 10 ชั่วโมง เรามีความสม่ำเสมอมากทำให้ทุกอย่างมันลุล่วงไปได้ เราเองในตอนนี้ก็คงต้องทำเช่นนั้น

แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นมาปนก็คือ ในขณะนี้เรามี factor ที่มาเกี่ยวข้องเพิ่มก็คือการไปซื้อของซึ่งต้องรอเวลาจากคนอื่น ทำให้จัดการเวลาไม่ค่อยได้ดีนัก นอกจากนี้ยังมีเรื่องโปรแกรมการทำสมาธิด้วย ดังนั้นมาดูกันก่อนดีกว่าว่าเราใช้เวลาไปขนาดไหนบ้างกับพวกกิจกรรมเสริม

1. ทำสมาธิวันธรรมดา ใช้ประมาณ 2.30 ชั่วโมง
2. ทำสมาธิวันอาทิตย์ ใช้ประมาณ 3.00 ชั่วโมง
3. ฝึกฝนการเขียน 1.30 ชั่วโมง
4. ฝีกฝนการฟังและพูด 1.30 ชั่วโมง
5. เตรียมสอบ 2.30 ชั่วโมง

ส ่วนกิจกรรมหลัก เราตั้งไว้แล้วว่าต้องทำวันละ 6 ชั่วโมง (เวลาตามโรงเรียน) และต้องทำสัปดาห์ละ 6 วัน ดังนั้นถ้าเราตื่นวันละ 14 ชั่วโมง เราก็จะมีเวลาสำหรับอาบน้ำ กินข้าว อ่านข่าว ออกกำลังกายอีกวันละ 4 ชั่วโมง เราต้องเคร่งครัดมากสำหรับเวลาอ่านข่าวเพราะเราชอบอ่านนานเหลือเกิน ต้องตั้งไว้ไม่เกิน 30 นาที เราอุตส่าห์ซื้อ stop watch มา ดังนั้นต้องเอามาใช้ให้เป็นประโยชน์นะ

อ๊ะ ยังมีพวกงานกลุ่ม minor อยู่ พวกนี้แหละที่จัดการยาก เราจะใช้เวลากลุ่ม long term มาจัดการ โดยจะจำกัดเวลาให้อยู่ภายใน 1 ชั่วโมงสำหรับเรื่องทั่วๆไปที่ไม่ใช่ทำความสะอาด ส่วนทำความสะอาดตั้งไว้ที่ 1.30 ชั่วโมง และวันหนึ่งๆจะทำไม่เกิดหนึ่งเรื่อง

เอ้า จะโพสต์แล้วนะ จะได้มาตรวจอีกทีว่าเราจะทำได้ดีแค่ไหน

Monday Oct 10, 2005 1.21am
  • ท ำเรื่อง abstract ก้าวหน้าพอสมควร แต่ต้องรอฟังคำตอบจากอาจารย์อยู่ (ได้เมล์ตอบมาว่ามีคนเอาหัวข้อนั้นไปแล้ว เสียดายเหมือนกัน ตอนนี้เลยเปลี่ยนมาเป็นเรื่อ Internet and Proxy Caching แล้ว แห้วแบบนี้เสียเวลาเปล่าจริงๆ ที่จริงแล้วแค่่ส่งเมล์ไปบอกว่าจะเอาเค้าก็ตอบรับแล้วล่ะ ไม่ต้องศึกษาอะไรมาก่อนทั้งสิ้น ความเสียเปล่าตรงนี้มันเกิดจากกระบวนการคิดและการลงมือที่ชักช้าของเราเอง เฮ้อ)
  • จัดการเรื่องเปเปอร์ที่ต้องส่งให้สมพลไปได้เกือบหมดแล้ว เหลือแต่ที่เป็นแบบฮาร์ดก็อปปี้
  • จัดการเรื่องบทความสมาธิที่ต้องเตี๊ยงเซ็งไปได้หมดแล้ว
  • ในวันนี้ทำงานหลักไปได้แค่ 5 ชั่วโมงเอง
Wednesday Oct 12, 2005 1.00am
  • ท ำ Thesis ไปก้าวหน้าขึ้นมาก ถึงแม้จะยังไม่มีประสิทธิภาพ แต่เราก็สามารถใช้เวลากับมันได้ต่อเนื่องยาวนานขึ้น ในวันหนึ่งๆ เราสามารถอยู่กับมันได้ถึง 8 ชั่วโมงแล้ว จริงๆแล้ววันนี้ทำไป 9 ชั่วโมงเพื่อชดเชยเมื่อวานที่ขาดหายไปจากเป้าหมายประมาณ 1 ชั่วโมง
  • ว ันนี้ทำความสะอาดห้องกับ living area ไป ใช้เวลารวม 45 นาที (สังเกตดัวยนะว่าตอนนี้ เรามีการตรวจสอบเวลาของ minor activity เข้ามาร่วมด้วยแล้ว)
  • วันนี้ไปออกกำลังกายมาด้วย เราพบว่า bicep เราอ่อนแรงไปเยอะเหลือเกิน กล้ามเนื้ออื่นๆก็พลอยอ่อนแรงไปด้วย เพราะไม่ได้ออกกำัลังกายจริงจังมานานมาก เดือนนึงแค่สองครั้งเอง สำหรับเวลาที่ใช้ก็คือ 1 ชั่วโมงกับ 45 นาที (เดินไปกลับใช้เวลาประมาณ 45 นาที ออกกำลังกายอีก 45 นาที)
  • ตอนนี้ยังไม่ได้ฝึกสมาธิที่บ้านขอ งตัวเองเลย แต่ก็เตือนสติให้ควบคุมลมหายใจของตัวเองอยู่บ่อยๆอยู่ อาจจะยังไม่ได้ฝึกที่บ้านไปสักหนึ่งสัปดาห์เพราะเราต้องการทำงานในฐานะนักเร ียนให้ดีก่อน เพื่อที่จะได้ไม่เกิดความกังวลในขณะทำสมาธิ
Friday Oct 14, 2005 5.55am
  • เ มื่อตอนคืนวันพุธและตอนกลางวันของวันพฤหัสก็ทำงานรวมเวลาได้ดังนี้ (ไม่รวมเวลาที่ใช้ไปกับ meeting ถึงแม้ว่าจะเป็นการใช้เวลาที่เรียกได้ว่ามีประโยชน์มากๆก็ตามที)
    1. ท ำเรื่อง project proposal ของ CSE530 ใช้เวลาไปประมาณ 5 ชั่วโมง ซึ่งเราพบว่า การที่เราจะหาหัวข้อดีๆได้ก็ไม่ง่ายนัก และจะหา paper ที่มาสนับสนุนก็ไม่ง่ายเช่นกัน หัวข้อที่ไม่ฮอตจะมีจุดเริ่มต้นที่ยากกว่า
    2. ไ ปเรียนและอ่านสอบ quiz ตอนเช้าใช้เวลาประมาณ 2.30 ชั่วโมง นี่คงเป็น quiz ที่แย่ที่สุดเท่าที่เราเคยทำมาเลยนะเนี่ย เราพบว่าเวลาที่ใช้ในการอ่านแค่ 30 นาทีไม่มีวันพอแน่นอน ต่อไปนี้ถ้าจะแสวงหาคะแนนเต็ม เราคงต้องใช้เวลาประมาณ 1.30 ชั่วโมง และเราคิดว่าเราต้องทำ
    3. ทำการบ้านและเรียน vector calculus ใช้เวลาประมาณ 1.30 ชั่วโมง
      อ ้อ วันนี้ไปพบ Dr. Collins ด้วย เค้าดูท่าทางเป็นมิตรมากเลย ตอนนี้เราก็ได้ committee มาแล้วเหลือแค่จัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยแล้วก็ลุย
    สรุปก็คือเราใช้เวลาทำเรื่องอันเป็นประโยชน์ไปประมาณเก้าชั่วโมง แต่เวลาเราหายไปเพียบเลยนะ เพราะนอนมากเกินไป จริงๆแล้วเราไม่ต้องนอนมากมายอะไรก็ได้นะ เพราะลองทบทวนดูแล้วมันไม่ค่อยได้ช่วยเราเท่าไหร่เลยมั้ง เพราะความจุทางพลังงานเรายังต่ำอยู่ นอนไปก็ไม่ได้ไปกว่าค่าความจุพลังงานของตัวเอง

  • บทเ รียนที่สำคัญที่เรารับรู้ในวันนี้ก็คือ อย่าไปมีปฏิสัมพันธ์กับชาวบ้านมากโดยไม่จำเป็น อยู่เงียบๆตั้งใจทำงานไปน่ะดีแล้ว เราในตอนนี้ไม่ได้แข็งแกร่งอะไรมาก เรื่องของชาวบ้านจะทำให้ใจของเราเปลื้อนเปล่าๆ

  • รู้ สึกว่าไม่ได้ทำสมาธิแล้วกิเลสครอบงำจิตได้ง่ายนะ แต่โชคดีที่ช่วงนี้กินเนื้อน้่อยมากๆเราก็เลยรอดตัวไปได้ คิดว่าต่อไปคงต้องกินเจจริงๆแล้วเพราะไม่งั้นจะเข้าสมาธิลำบากมากขึ้น

  • เ ท่าที่ติดตามดูพบว่า เราคงต้องขยันทุกวัน เพราะในวันหนึ่งๆเราก็มีความด้อยประสิทธิภาพ (Inefficiency) อยู่สูงมาก ถึงแม้จะทำๆไปเรื่อยๆทุกวัน จากการสังเกตก็พบว่าเวลาทำงานของเราจะเหมือนกับว่าหายไปหนึ่งวันโดยอัตโนมัต ิเพราะความด้อยประสิทธิภาพนั่นเอง ดังนั้นถ้าหากมีวันหยุดหนึ่งวันก็จะกลายเป็นว่าเราทำเวลาหายไปสองวัน ซึ่งจะทำให้เวลาทำงานของเราไม่พอ

    สรุป ไม่ต้องไปหาวันหยุดหรอก เพราะที่ใช้ชีวิตอยู่นี่ก็มีความสบายใจเหมือนกับเป็นวันหยุดทุกวันอยู่แล้ว

รู้สึกว่า "This Blog Forever" จริงๆ เขียนมาต่อเนื่องเลยแฮะ