วันนี้ได้รับ comment คืนมาจากอาจารย์ที่ปรึกษาพบที่ผิดบานตะไท ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของ definition, wording, consistency ในรูปภาพและสมการ และเรื่องการใช้ article (a, an, the) (ฮ่วยพูดไปแล้วจะว่ามันผิดไปซะทุกจุดก็ได้เลยนี่หว่า) ถ้าเราอยากจะเรียนให้จบในระดับปริญญาเอก เราคงไม่สามารถปล่อยความสามารถด้านการเขียนของเราให้มันเป็นอะไรแย่ๆแบบนี้ไ ด้ เราคิดว่าเราต้องเร่ิมฝึกฝนการเขียนให้มากขึ้นกว่านี้ ต้องพยายามนะภิญโญ เธอจะปล่อยให้ชีวิตล่องลอยไปแบบนี้ต่อไปไม่ได้ "ปลาเป็นย่อมว่ายทวนกระแสน้ำ คนเป็นย่อมว่ายทวนกระแสใจ" ถ้าไม่ตั้งมั่นเราจะไปไม่ถึงจุดหมายของชีวิต เราจะชี้นำจิตวิญญาณของผู้คนได้อย่างไรถ้าหากว่าเรายังไม่สามารถฝ่ากระแสใจข องตัวเองได้
พยายามหน่อยนะ ทรัพยากรที่เป็นวัตถุมีครบแล้ว แต่ถ้าหากไม่ใส่ทรัพยากรด้านการกระทำและความตั้งมั่นลงไปเหตุปัจจัยที่จะทำใ ห้งานสำเร็จย่อมมีไม่ครบ แต่ก่อนเราหวังว่าถ้ามีทรัพยากรด้านวัตถุเราจะต้องทำสำเร็จแน่ นั่นเป็นเพราะว่าเรายังไม่ได้มองปัญหาให้ครบถ้วน ในสมัยก่อนเราไม่ได้มองไปที่ตัวของเหตุปัจจัยเลยทำให้เรามักทุ่มไปด้านใดด้า นหนึ่งแล้วก็ไปไม่ถึงจุดหมาย ซึ่งไปไม่ถึงก็เพราะเราแก้ปัญหาผิดทาง คือเราลืมไปว่าเหตุปัจจัยต้องมีครบเสียก่อน อันว่า "เหตุเกิด ผลก็ต้องเกิด เหตุไม่เกิด ผลก็ไม่เกิด" และนั่นคือที่มาของหัวข้อของบล็อกในวันนี้ เราต้องการรู้เหตุปัจจัยที่จะทำให้สำเร็จการศึกษา ซึ่งเราเรียกเหตุปัจจัยนั้นว่า "stairway to graduation"
Stairway to Graduation
ทางด้านทรัพยากรวัตถุ
- การเงิน
โดยปรกติเรามีไม่ขาด จนกว่าจะหมดสัญญาดังนั้นรีบๆเรียนให้จบซะ เวลามันผ่านไปไวเหลือเกิน ความประมาทจะนำพาแต่ความทุกข์ให้เราเท่านั้น เราต้องทุ่มเทพลังตลอดไม่งั้นเราคงเอาตัวไม่รอดภายในเวลาที่กำหนดได้ เอ้า สู้ต่อไปนะ
- คอมพิวเตอร์
อาจจะติดขัดนิดหน่อยเพราะเครื่องที่เร็วพอในแล็บอาจจะมีไม่ครบ แต่ถ้าเราไปทำงานที่แล็บเป็นประจำและมีผลงาน เชื่อได้เลยว่า Dr. Higgins ต้องซื้อมาเพิ่มอีกเครื่องหนึ่งเป็นแม่นมั่น ดังนั้นเราก็ต้องพยายามต่อไป และก็ควรจะอดออมเงินไว้ใช้ในอีกทางหนึ่งด้วย
อย่างไรก็ตามเราจะไม่ซื้อเครื่องคอมใหม่เป็นอันขาด ตราบใดที่วินโดวส์ยังมองเห็นแรมได้แค่ 3GB เพราะคิดว่าเมื่อมาเจอกับความมือเติบเรื่องเมมโมรีของเรา มันคงหมดไปอย่างรวดเร็ว อ้อเรารอ CPU แบบประหยัดพลังงานอยู่นะ เพราะคิดว่าต่้อไปคงต้องคิดเรื่องนี้กันบ้าง และนี้คงจะเป็นเครืองคอมเครื่องสุดท้ายที่เราจะซื้อก่อนจบการศึกษา
- หนังสือ
มีครบแน่ๆเพราะทาง กพ ให้เงินเรามาเพียงพอต่อความต้องการ เรามีมากกว่าที่เราจำเป็นจะต้องใช้ด้วยซ้ำ เหลือแต่ว่าเราไม่ยอมอ่านเองนั่นแหละ
ทางด้านทรัพยากรความรู้
- คณิตศาสตร์พื้นฐาน
- Linear Algebra
- Vector Calculus
- Probability and Statistics
- Differential Equation
คงจะเห็นกันชัดๆแล้วใช่มั้ย ว่าเรายังมีไม่ครบเลยสักอัน ดังนั้นเรื่องที่จะเรียนจบง่ายๆน่ะเลิกคิดได้เลยตราบใดที่ปัญหาพวกนี้ยังอยู ่กับเรา
- ด้านการประยุกต์ใช้ในเชิงวิศวกรรม
- Image Processing Theories and Filter Usage
- Model Fitting and Optimization Theory
ถ้ามาลองสังเกตดูก็จะพบอีกเช่นกันว่าจริงๆแล้วเราไม่ค่อยรู้จักเทคนิคการใช้ พวกฟิลเตอร์เลย เราไม่ค่อยรู้จักคุณสมบัติมันทำให้หยิบใช้ไม่ค่อยถูก ส่วน Optimization theory นี่แทบไม่มีอะไรอยู่ในหัวของเราเลยนะเนี่ย ถ้าต้องใช้จริงจังนี่เรียกได้เลยว่าไม่น่าจะเอาตัวรอดไปได้
- Image Processing Theories and Filter Usage
- ด้านความรอบรู้ในงานวิจัย
ในขณะที่เราทำงานของเรา เราก็ควรจะรู้จักเทคนิคของคนอื่นๆด้วย เพื่อที่จะทำให้เราได้รู้ว่าเราจะสามารถนำของต่างๆมารวมกันให้มีผลลัพธ์ที่ด ีขึ้นได้หรือไม่ หรือว่ามีเทคนิคอื่นที่ดีกว่าที่เราทำอยู่หรือเปล่า ของพวกนี้ถ้าไม่รู้ก็อาจจะไปผิดทาง ทำงานวิจัยที่ไม่เข้าท่าออกมาได้
แน่นอนเราไม่มีอะไรสักอย่างเลย แล้วแบบนี้จะทำตัวเหยาะแหยะอยู่ได้อย่างไร เอ้าพยายามต่อไปอีกนะ การหยุดพักคือทางสู่ความเกียจคร้านของเราโดยแท้
ทางด้านความชำนาญ
- ความสามารถในการเขียนภาษา C++
อุเหม่ เราก็ยังไม่เก่งอยู่ดีนั่นแหละ เราว่าจะทำ code-segment library ให้เป็นรูปเป็นร่างแต่ก็ไม่ได้ทำสักที ไม่ใช่ว่าเราไม่มีเวลาหรอก แต่ว่าเราแย่เกินไปที่จะใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ต่างหาก เรามีอะไรที่ต้องศึกษาอีกมากจริงๆ
- ความสามารถในการออกแบบโปรแกรมให้มีความยืดหยุ่นรองรับการเปลี่ยนแปลงได้ง่าย
สำหรับข้อสองกับข้อสาม พวกนี้ต้องมานั่งทบทวนกันหใหม่ให้จริงๆจังๆแล้วล่ะ ไม่งั้นคงไม่รอดเป็นแม่นมั่น ประสิทธิภาพในการสร้างผลงานซอฟต์แวร์อยู่ที่ข้อสองกับข้อสามนี่แหละ
- ความสามารถในการออกแบบการทดลองเพื่อวัดผล
ดูคอมเมนต์ข้อสองได้เลยนะ เราต้องทบทวนเรื่องนี้ให้หนัก และหันมาทำทุกอย่างอย่างเป็นระบบ
ทางด้านบุคคล
- อาจารย์ที่ปรึกษา
นี่เรียกได้เลยว่าเป็นปัจจัยเดียวที่เรารู้สึกว่าเราได้ของที่ดีที่สุดมา แต่ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือตัวของเรา เรากลับทำไม่ดีเลย ให้ตายเหอะ
- คณะกรรมการวิทยานิพนธ์
ถ้าเป็นตอนปริญญาโทนี้คิดว่าเราคงไม่มีปัญหาแล้วล่ะ แต่ตอนเอกก็คิดมาให้ดีๆร่วมกับอาจารย์นี่แหละ ไม่น่าจะเป็นปัญหา
- เพื่อนร่วมงาน
มาลองดูดีๆ เราพบว่าคนรอบตัวที่เราเจอในแล็บมันช่างดีเสียนี่กระไร กลายเป็นว่าเราเป็นคนที่แย่ที่สุดแล้วนะ สรุึปก็คือจริงๆแล้วของพวกนี้แทบไม่เป็นปัญหาอะไรกับเราเลยนะ
- เพื่อนอื่นๆที่อยู่รอบๆตัวเรา
ถ้าเป็นชาวไทยก็อาจจะเป็นปัญหานิดหน่อย แต่เราพบว่าตอนนี้เค้าก็เข้าใจแล้วว่าเราอยากใช้เวลาทำงานมากๆและก็ไม่ค่อยม ายุ่งกับเราแล้ว ดังนั้นต้องใช้เวลาช่วงนี้แหละจัดการงานทุกอย่างให้เสร็จ แล้วก็ศึกษาต่อไปว่าเราต้องวางตัวอย่างไรจึงจะทำให้ความสัมพันธ์ดีๆยังอยู่ไ ด้และไม่เป็นภาระกับเรา (จะว่าไปจิตวิญญาณที่อยากช่วยคนอื่นของเรามันแรงจริงๆ ขนาดตอนนี้ยังคิดอยู่เลยว่าถ้าพวกนั้นเกิดมีปัญหาขึ้นมาเราจะช่วยพวกเค้าได้ อย่างไร ภายใต้ระยะห่างขนาดนี้)
ทางด้านภาษาและการติดต่อสื่อสาร
- ความสามารถในการเขียนเรื่องเชิงวิชาการ
เราพบว่าฝีมือเราห่วยแตกบรรลัย แต่ก็ไม่น่าแปลกเพราะว่าธีสิสที่เขียนไปนั้นใช้เวลาถือว่าน้อยแล้วเราก็ไม่ไ ด้มาอ่านตรวจทานเท่าไหร่เลยว่ามันดีแล้วหรือไม่ เราต้องมาทำการอ่านและศึกษาเรื่องเหล่านี้อย่างจริงๆจังๆแล้ว และคงต้องทุ่มเทให้สามารถทำให้ดีๆได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วย
การอ่านซ้ำและแก้ไขเป็นเรื่องทีสำคัญมากๆ เพราะขนาดที่เขียนเป็นภาษาไทยตอนนี้ เรายังพบเลยว่า เราจะเขียนได้ดีกว่านี้ถ้าหากเรามาอ่านซ้ำแล้วปรับปรุงใหม่ ดังนั้นพอเป็นภาษาอังกฤษ เรายิ่งต้องทำการทบทวน โอ้ชีวิตแท้จริงมันยากเย็นเหลือเกิน
- ความสามารถในการพูดและฟังเพื่อติดต่อสื่อสารให้ง่ายยิ่งขึ้น
อุตส่าห์ซื้อหนังสือพร้อม CD ที่ได้ชื่อว่าดีที่สุดมาแล้ว ดังนั้นต้องใช้ประโยชน์ให้เต็มที่นะ หนังสือ "The American Accent Guide" ของ Beverly Lujan นี่ท่าทางจะดีมากๆแล้วล่ะ หาเวลามาอ่าน ฟัง และ พูดให้ได้ก็พอ
- ความเป็นธรรมชาติ
คงอยู่ที่การฝึกฝนและการดูจากหนังแล้วล่ะมั้ง
- ความถูกต้อง (ไวยากรณ์ต่างๆ)
ต้องทำอย่างเป็นระบบ ศึกษาได้จากตัวอย่างของหนังสือเฮียหงวน เราน่าจะลองมาทำเป็น electronic file กันดูหน่อยนะ วิจารณ์กันแบบประโยคต่อประโยค เพื่อให้จัดหมวดหมู่ต่างๆได้ง่าย แต่ไม่ควรทำใส่บล็อกเพราะมันอาจจะจมธรณีได้ง่าย ควรจะเซฟไฟล์ใส่ไว้ใน gmail แทน อาจจะทำให้ใส่ word หรือ html/xml แทน แต่คิดว่า word น่ะดีแล้วจะได้ไม่ต้องศึกษาอะไรเพิ่มมาก ง่ายดีและไม่ออกนอกประเด็น
อันนี้เป็นการศึกษาในเชิงของประโยคเดี่ยวหรือสองสามประโยคเท่านั้น เพื่อเป็นการสร้างพื้นฐานของาการเขียนประโยคที่ถูกต้องและได้ใจความ
- การจัดเรียงเนื้อหาให้สมบูรณ์ อ่านง่าย ไหลลื่น
หลังจากทำข้อสี่ได้สักระยะหนึ่ง เราก็ต้องทำการจัดการเรียงของต่างๆเข้าด้วยกันให้เนื้อหามันดูดี ไม่ควรจะมีคอมเมนต์กลับมาว่า 'Put it in more sensible location' อย่างวันนี้ เราอาจจะเขียนถูกแล้ว แต่กลับไม่สามารถจัดวางในที่ที่ทำให้เนื้อหาประติดประต่อไหลไปอย่างราบลื่นไ ด้
ทางด้านจิตวิญญาณ
เรียกได้เลยว่ามันเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดที่จะทำงานให้สำเร็จ
- ความมีระเบียบวินัย
อย่างในบล็อก http://pinyotae.blogspot.com/2005/10/life.html เราบอกว่าจะอ่านข่าวเฉพาะตอนวันอาทิตย์ เราก็ต้องทำเฉพาะวันอาทิตย์จริงๆ เพราะถ้าผิดพลาดไประงับความอยากรู้เรื่องของชาวบ้านไม่อยู่ ม้ันก็จะเริ่มผิดพลาดต่อๆไปเหมือนกับโดมโนที่จะล้มมาต่อๆกันเรื่อยๆ
จำไว้ให้ดีเลยว่าความผิดพลาดที่ยุ่งยากของเรามันเริ่มมาจากความผิดพลาดเล็กๆน้อยๆของเรา
- ความมั่นคงและความตั้งมั่นทางจิตใจ
เราจะต้องไม่วอกแวกออกจากงานที่ทำ และเราจะต้องมั่นคงพอที่จะต้านการรับความสุขจากการนอน และความพอใจในกามได้ ถ้าเราไม่ตั้งมั่นพอก็จะเกิดความประมาท เมื่อเกิดความประมาทก็จะเกิดความผิดพลาดเล็กน้อยขึ้น เมื่่อเกิดความผิดพลาดเล็กน้อยขึ้นมันก็จะล้มต่อๆกันไป ยากที่จะหาจุดสิ้นสุดได้
- ความจดจ่อที่ได้ดุลระหว่างตัวอักษรและความเข้าใจ
เวลาอ่านหนังสือ ในขณะที่เราจดจ่อกับข้อความ เราก็ต้องจดจ่อกับความหมายของข้อความด้วย หลายครั้งที่เราไม่ทำให้เกิดความได้ดุลขึ้น ทำให้อ่านแล้วไม่เข้าหัว (จดจ่อกับตัวอักษรมากเกินไป) หรือ อ่านแล้วใจเตลิดออกไปยังกิ่งก้านสาขาของความรู้มากเกินไป (จดจ่อกับความเข้าใจและเกิดการแตกแขนงของความรู้ไปแบบไม่รู้จบ แต่ไม่เข้าประเด็นของเรื่องที่เรียนอยู่)
- ความไม่ประมาท
อย่าได้คิดว่า "พักผ่อนก่อนแล้วค่อยมาทำงาน" อะไรทำนองเนี้ย เพราะว่าเราทำอย่างนี้มาหลายทีแล้ว แล้วก็พบว่าซวยตลอด มันเป็นความผิดพลาดแบบโดมีโนล้มจริงๆ เราต้องตั้งใจเดินให้ถูกทาง ถูกท่า ถูกวิธี ในทุกๆรายละเอียดจะต้องถูกต้องหมด ถ ้าเราคิดว่าการกระทำของเรามันมีอะไรที่ขัดแย้งกันกับทางสู่เป้าหมายสูงสุดแล ้วล่ะก็ จำไว้เลยว่าเรากำลังจะล้ม เพราะความขัดแย้งนั้นเหมือนกับการที่ขาเราขัดกันนั่นเอง
ดังนั้นสังเกตให้ดีๆ อย่าให้ผิดแม้แต่อะไรที่เล็กๆน้อย เพราะความประมาทเพียงเล็กน้อยสำหรับคนอย่างเรามันคือจุัดเริ่มแห่งความยุ่งย ากทั้งมวล
ทางด้านเวลา
- ปริมาณเวลาที่ต้องใช้
เราประมาทเรื่องนี้อยู่เสมอเลย เราเป็นคนที่ทำงานช้าและไม่ค่อยต่อเนื่องทำให้เวลาที่ต้องใช้มากกว่าคนอื่นแ บบผิดปรกติ ดังนั้นเราจะต้องทำใจตรงนี้แล้วยึดหลักไม่ประมาท ไม่งั้นสิบปีก็ไม่พอแน่นอน
- การจัดสรรเวลาที่เหมาะสม
เราจะต้องมั่นใจว่าในวันหนึ่งๆ เราทำงานหลักโดยใช้เวลาไม่ต่ำกว่าหกชั่วโมงเสมอ และเนื่องจากเห็นแล้วว่าพวกความรู้ที่เราขาดไปมันมากกว่าที่เราเคยรู้สึกตัว มากนัก ดังนั้นเราจะต้องฝึกฝนพวกนั้นอย่างน้อยวันละสองชั่วโมง ไม่งั้นก็อย่างที่รู้กัน "ไปไม่รอดแน่นอน"
- ช่วงการใช้เวลาที่ทำให้เกิดประสิทธิภาพที่สุด
เพราะอย่างไรงานหลักก็คือสิ่งที่สำคัญที่สุด เราจะต้องเริ่มต้นทุกๆวันด้วยเรื่องของงานหลักเสมอ เราจะไม่เริ่มต้นด้วยเรื่องของการอ่านข่าว หรือ งานรองเป็นอันขาด เราจะต้องเริ่มจากเรื่องที่ยุ่งยากที่สุดแทนที่จะเป็นเรื่องที่ง่ายที่สุด เหตุผลก็คือเรื่องที่ยากที่สุดมีความไม่แน่นอนที่สุดและเราต้องทำจนเราเห็นท างสู่ความแน่นอนขึ้นมา
เป็นของที่ต้องสอบให้ผ่าน ถ้าไม่ผ่านก็จะโดนไล่ออก ประมาทไม่ได้เลย ยังไงๆเราก็ต้องทำการฝึกฝนอยู่ตลอด ยิ่งผ่านเร็วยิ่งดี ถ้างั้นทำไมไม่ให้ผ่านที่เทอมที่จะถึงนี้เลยล่ะ จัดการให้เสร็จที่เทอม Spring 2006 ได้เลยนะ จะเริ่มอย่างจริงจัึงตอน Thanks giving นี่แหละ
ทางด้านความยากของหัวข้อวิจัย
อ ันนี้เป็นปัจจัยที่เรียกได้เลยว่ามีความไม่แน่นอนเป็นที่สุด เราไม่สามารถดูออกได้เลยว่าจริงๆแล้วมันยากหรือง่ายกันแน่เพราะว่าเราอาจจะข าดความรู้ความชำนาญหรือว่าเราเลือกวิธีที่ผิดพลาดมาใช้งานก็เป็นได้
สรุป
เ ห็นแล้วใช่ไหมว่าปัจจัยที่จะทำให้เรียนจบได้ไม่ใช่มีน้อยๆนี่ขนาดยังไม่รวมพ วกรายละเอียดเช่นสุขภาพเข้าไปด้วยนะ ถ้าสังเกตดูให้ดีๆเราจะพบว่าเรายังบกพร่องอยู่หลายอย่าง ด้วยเหตุนี้เองเราพูดได้คำเดียวเลยว่าถ้าหากเราไม่ทำอะไรสักอย่างมีหวังไม่จ บกันพอดี เมื่อเห็นเป็นอย่างนี้บล็อกนี้จึงถูกสร้างขึ้นมาเพื่อวิเคราะห์และแก้ไขปัญห าอย่างเป็นระบบ สำหรับในเวลานี้ความตั้งมั่นและทุ่มเทให้กับงานหลักคือสิ่งที่เป็นปัญหามากท ี่สุด ระเบียบวินัย และ ความไม่ประมาทจะต้องถูกสร้างขึ้นมาให้สมบูรณ์ก่อนเสมอ พร้อมๆกับการแบ่งเวลาไปศึกษาเรื่องที่เป็นเหตุปัจจัยสู่การเรียนจบอยู่เรื่อ ยๆอย่างไม่ย่อท้อ ความสำเร็จจะเกิดขึ้นเองเมื่ือเหตุปัจจัยต่างๆมีครบ และจะไม่มีทางเกิดขึ้นหากเหตุปัจจัยที่จำเป็นยังเกิดขึ้นไม่ครบ
ป.ล.
ยิ่งนานเรายิ่งรู้สึกเคารพคำพูดของพระพุทธเจ้าที่กล่าวไว้กับ เอหิภิกขุอุปสัมปทา ที่ว่า
"เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด ธรรมของตถาคตกล่าวไว้ดีแล้ว เธอจงประพฤติพรรมจรรย์ เพื่อให้ถึงความสิ้นสุดแห่งทุกข์เถิด" คำกล่าวของพระพุทธองค์มันยอดเยี่ยมเหลือเกิน ถ้าไม่ประพฤติพรรมจรรย์เราไปไม่ถึงความสิ้นสุดแห่งทุกข์แน่ๆ เราต้องยอมทิ้งความสุขทางโลกไปเสียแล้วล่ะ เพราะไม่อย่างนั้นแล้วเราคงไม่อาจไปถึงเป้าหมายของชีวิตของเราได้ (Oct 17, 2005 4.30am)
ป.อ.
หนทางชีวิตยังยาวไกลเหลือเกิน แต่เราก็พบว่าเรายังตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของดวงดาวไม่เคยออกไปได้เลยแฮะ ตอนที่อ่านเรื่องทำนายประจำปีจาก astrology.com เค้าบอกว่า "ปีนี้เป็นปีแห่งการศึกษาของเรา แต่ไม่ได้ทำไปเพราะความชอบ แต่ทำไปเพื่อให้สำเร็จการศึกษา" โอ้ มันช่างพูดได้ถูกต้องมากมายเสียนี่กระไร แสดงว่าทั้งความดีและความเลวที่เราทำผ่านๆมา คงแทบไม่มีอันไหนเป็นกรรมหนักๆให้เราเปลี่ยนชีวิตในภพชาตินี้ได้เลยสินะ
ป.ฮ.
เรื่องที่ต้องศึกษาที่เขียนไว้ข้างบนหนักพอแล้ว ตอนนี้ไอ้ความคิดที่จะหางานทำหรือศึกษาการเขียนภาษาจาวาให้มันจ๊าบๆหน่อยหรื อว่าเรื่องเล่นกีฬานี่คงต้องเลิกคิดกันได้แล้วนะ แค่รู้จักออกกำลังกายบ้างก็พอแล้ว ไม่อย่างนั้นเราคงเอาตัวไม่รอดแน่นอน พึ่งจะรู้ตัวว่าเรากำลังจะไม่รอดก็วันนี้แหละ โชคยังดีที่เรายังไหวตัวทัน คงพอจะมีเวลาเตรียมตัวก่อนความทุกข์จะมาถึงได้บ้าง
อืม หนทางอีกยาวไกลสู้ต่อไป ภิญโญ แท้ประสาทสิทธิ์
(Oct 17, 2005 8.15 am ใช้เวลาเขียนบล็อกนี้นานมากจริงๆ เขียนมาตั้งแต่ตีสี่)
No comments:
Post a Comment